Accom Thailand

May 10, 2009

ภาพจริง ให้ปรากฏว่า กลุ่มคนเสื้อแดง ถูกใส่ร้ายจริงหรือ


Red Anti-government protesters in central Bangkok and demonstrators with firebombs and rocks, propelling Thailand deeper into political crisis.

Thai troops take position as they try to clear a main road blocked by supporters of ousted Thai prime minister Thaksin Shinawatra in Bangkok. Photograph by: Sukree Sukplang , Reuters

Supporters of former Prime Minister Thaksin Shinawatra stand on a bus in the early morning outside the Government House in Bangkok. Photograph by: Athit Perawongmetha, Getty Images

A supporter of exiled ex-premier Thaksin Shinawatra holds a national flag as she runs past a burning bus during clashes with soldiers near the Government House in Bangkok on April 13, 2009. Photograph by: Pornchai Kittiwongsakul, AFP/Getty Images

A protester walks past a burning tire during a protest near Victory Monument in Bangkok. Photograph by: Athit Perawongmetha, Getty Images

Soldiers take position outside a bus torched by supporters of ousted Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra during a protest in Bangkok. Photograph by: Sukree Sukplang, Reuters

Armed troops look up as they clear a road blocked by supporters of ousted Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra in Bangkok. Photograph by: Sukree Sukplang, Reuters

Supporters of former Prime Minister Thaksin Shinawatra prepare fire bombs during a protest near Victory Monument in Bangkok. Photograph by: Athit Perawongmetha, Getty Images

A protester uses a sling shot during a protest near Victory Monument in Bangkok. Photograph by: Athit Perawongmetha, Getty Images

A supporter of ousted Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra brandishes a weapon during a protest in Bangkok. Photograph by: Vivek Prakash , Reuters

Thai army soldiers take position in front of Ananta Samakon palace to face supporters of exiled ex-premier Thaksin Shinawatra in Bangkok on April 13, 2009.
Photograph by: Nicolas Asfouri, AFP/Getty Images


ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

April 26, 2009

“เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายก อภิสิทธิ์” 26 เมษายน 2552


“มาร์ค” ฮึ่ม เสื้อแดง ชุมนุมจาบจ้วง ชี้ “แม้ว-อีเพ็ญ” ผู้ก่อการร้ายตัวจริง
 เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายก อภิสิทธิ์

เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายก อภิสิทธิ์


นายกรัฐมนตรี เตือนม็อบเสื้อแดง จัดชุมนุม ห้ามจาบจ้วงเบื้องสูง ยอมรับเป็น นักประชาธิปไตย ฝืนใจต้องใช้อำนาจพิเศษ ในบางครั้ง เพื่อรักษากฏหมาย ย้ำ สถานการณ์ยังไม่นิ่ง จำเป็นต้อง ตรึงกำลังไว้ บางส่วน ชี้ “ทักษิณ-จักรภพ” โจมตีมาตุภูมิ จาบจ้วงกษัตริย์ เข้าข่ายผู้ก่อการร้าย มั่นใจ ต่างชาติ เริ่มเข้าใจ และ ออกอาการ ต่อต้านแล้ว


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายก อภิสิทธิ์”


วันนี้(26 เม.ย.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์” เป็น ครั้งที่ 15 ออกอากาศ ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ แห่งประเทศไทย และ สถานีวิทยุกระจายเสียง แห่งประเทศไทย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สัปดาห์ ที่ผ่านมา ก็เป็นสัปดาห์ที่ ตนและรัฐบาล ก็เดินหน้า ในการที่จะนำ บ้านเมือง กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่มี การประกาศใช้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่ใน ช่วงสงกรานต์ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

สิ่งแรก ที่เราพยายาม ดำเนินการ คือว่า ทำให้ เหตุการณ์ต่าง ๆ รวมทั้ง การแก้ไขปัญหา ต่าง ๆ นั้นเดินไปใน ลักษณะ ที่โปร่งใส และ มีส่วนร่วมของทุก ๆ ฝ่าย

เพราะฉะนั้น เมื่อ วันพุธ และ วันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา รัฐบาลจึงได้ขอ เปิดการประชุมร่วมของรัฐสภา เพื่อที่จะรับฟัง ความคิดเห็น ของ สมาชิกรัฐสภา ซึ่งก็มีทั้ง สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นเวลา 2 วัน เพื่อรับฟังข้อคิดเห็น เกี่ยวกับ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

รวมถึง การแสวงหา ทางออก สำหรับ บ้านเมือง เพื่อที่จะให้ ความขัดแย้งต่าง ๆ นั้น ได้คลี่คลายลงไป

นายกฯ กล่าวว่า เชื่อว่า ประชาชนจำนวนมาก คงจะได้มีการติดตาม การประชุมทั้ง 2 วัน เพราะว่า มีการถ่ายทอดสด ทางโทรทัศน์ และ ทางวิทยุ ซึ่งในการอภิปรายนั้น เป็นธรรมดา ที่บางครั้ง ก็อาจจะดู มีความขัดแย้ง หรือ มีอารมณ์กันอยู่บ้าง แต่ว่าโดยรวม ประชาชนคงจะตระหนักว่า ที่ประชุมสภาฯ ก็คือ ที่ประชุม ของผู้แทนของ ปวงชนชาวไทย

ซึ่งก็สะท้อน ความรู้สึกของ ประชาชน ซึ่งย่อมจะมี ความหลากหลาย มีความแตกต่าง กันไป อย่างไรก็ตาม อยากจะเรียนอย่างนี้ว่า ประเด็นหลัก ๆ ที่เราจะต้องช่วยกัน จากวันนี้ไป ก็คือ การสะสาง ใน 2 จุด

จุดแรก คือในเรื่องของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาล และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตนได้รายงาน สถานการณ์ต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ให้ ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อยืนยัน ข้อเท็จจริง หลักการ และ จุดยืนของรัฐบาล ซึ่งจำเป็น ที่จะต้องประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อที่จะนำเรื่องของ การรักษากฎหมาย ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ กลับคืนมาสู่ สังคม ไม่ได้ เป็นการใช้กฎหมาย ในลักษณะที่ จะหวังประโยชน์ ในเรื่องของ การเอาชนะคะคาน ในทางการเมือง แต่ประการใด

“เพราะฉะนั้น อย่างที่เรียน ก็คือว่า การใช้สิทธิเสรีภาพของ พี่น้องประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ นั้น ย่อมทำได้ การแสดงความคิดเห็น ที่แตกต่างย่อมทำได้ แต่ว่า พฤติกรรม ที่ผิดกฎหมาย และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผิดกฎหมาย และ กระทบต่อ ความมั่นคงของรัฐ ก็เป็นเรื่องที่ เราจะต้องใช้เครื่องมือเครื่องไม้ ตามกฎหมายจัดการ เพื่อที่จะไม่ให้ สถานการณ์นั้น ลุกลาม และ กระทบ กับ ประเทศ และ กระทบกับ ความเป็นอยู่ ของพี่น้องประชาชนต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ยืนยัน ไม่มีผู้เสียชีวิต จากการปฏิบัติการ ของเจ้าหน้าที่


นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ขอยืนยัน อีกครั้งหนึ่งว่า
ประการแรก ในเชิงนโยบายนั้น ได้มีการประชุม กำชับกับ หน่วยงาน ที่ปฏิบัติงาน ในช่วงที่มี การประกาศ ภาวะฉุกเฉิน เกือบตลอดเวลาว่า ทุกมาตรการ ที่ใช้นั้น

หนึ่ง ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ปฏิบัติการทุกครั้ง ก็จะมีสื่อสารมวลชน ทั้ง ไทย และ ต่างประเทศ อยู่ด้วย และ
สอง คือว่า พึงหลีกเลี่ยง การใช้ความรุนแรง ในทุกรูปแบบ และ ทุกอย่างต้องอยู่ ภายใต้ข้อบังคับ หรือ ตัวบทกฎหมาย ทุกประการ


“ผมยังยืนยันครับ จนถึงวันนี้ว่า จากการติดตามตรวจสอบ ในทุกเรื่อง ยังไม่ปรากฏว่า มีผู้เสียชีวิต จากการปฏิบัติการ ของเจ้าหน้าที่ ในช่วงที่มี การประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง และ ในส่วนของ การบาดเจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ทางเจ้าหน้าที่ ได้เร่งเข้าไปดูแล รัฐบาลก็ได้ ดำเนินการ มีมติในเรื่องของ การเยียวยาให้ พี่น้องประชาชน ที่ได้รับ ผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มใด”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า เรียนว่า 2 วัน ที่มีการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ นั้น ที่จริงแล้ว ก็มีเรื่องราว ที่ได้รับความสนใจอยู่ อาจจะอยู่ 2-3 เรื่อง ซึ่งยังอยู่ในความสนใจ เช่น

กรณีที่ มีการพบศพใน แม่น้ำเจ้าพระยา ก็ขอเรียนย้ำ อีกครั้งหนึ่งว่า บุคคลทั้งสอง ที่ได้เสียชีวิตนั้น เสียชีวิต หลังจากที่มีปฏิบัติการต่าง ๆ ในเรื่องของการทหาร หรือ การดำเนินการ ของ ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือว่า มีพยานชัดเจน ที่ระบุว่า บุคคลทั้งสองนั้น ยังคงมีชีวิตอยู่ ในช่วงประมาณ ตอนดึกของวันที่ 13 ต่อเนื่อง เช้าวันที่ 14 ซึ่ง พี่น้องประชาชน คงจำได้ว่า หลังจากดึก วันที่ 13 เป็นต้นไป ก็ไม่ได้มี ปฏิบัติการของ ฝ่ายความมั่นคง อะไรเพิ่มเติม เป็นช่วง ที่มีการตรึงกำลังกัน ก่อนที่ วันที่ 14 ทางผู้ชุมนุม จะได้ตัดสินใจ ในเรื่องของ การยุติการชุมนุม อย่างนี้เป็นต้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการเสียชีวิตของ พลทหาร ว่า อยากจะเรียนว่า เป็นผู้ที่ดูแลบ้านพัก ซึ่งตนได้ไปพักอยู่ แต่ว่าการเสียชีวิต ของบุคคลท่านนั้น เกิดขึ้นในช่วงค่ำ ของ วันที่ 14 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาที่ ตนไม่ได้พักอยู่ที่นั่นแล้ว ตนพักอยู่ที่นั่น ในช่วงวันที่ 12 และ วันที่ 13 เมษายน และ จากรายงานเบื้องต้นของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ทราบว่า บุคคลดังกล่าว ประสบอุบัติเหตุ ในช่วงค่ำ และ หลังจากนั้น ก็มีพยานที่ได้สนทนา และ ได้ช่วยในเรื่องของ การซื้อยา เพราะว่าทางเจ้าตัวนั้น ได้บ่นว่าปวดศีรษะมาก แต่หลังจากที่นอนแล้ว ได้พบอาการผิดปกติ ได้มีการส่ง โรงพยาบาล อย่างนี้เป็นต้น

“นอกจากนั้น จะมี ภาพเหตุการณ์ ซึ่งเป็นภาพนิ่งบ้าง ภาพเคลื่อนไหว บ้าง ซึ่งรัฐบาล ได้พยายาม ที่จะชี้แจงว่า แต่ละเรื่องมี ที่มา ที่ไป อย่างไร ผมอยากจะเรียนว่า เราก็จะ เดินหน้า ทำเรื่องนี้ให้ โปร่งใสครับ เพราะว่าใคร ก็ตามที่เสียชีวิต ใครก็ตาม ที่ได้รับบาดเจ็บ นั้น ผมยืนยันครับว่าผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนเสียใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เรา ก็ต้องยืนยัน ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ว่า การเสียชีวิต หรือ การบาดเจ็บ นั้นเกิดขึ้นอย่างไร”

รัฐบาลตั้ง คณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

นายกฯ กล่าวอีกว่า ดังนั้น สิ่งที่ตนดำเนินการ ในขณะนี้ก็คือ

ข้อแรก ในส่วนของรัฐบาลเอง ได้มี การแต่งตั้ง คณะกรรมการ ประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นความรับผิดชอบ ของทาง สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อันนี้เป็นเรื่องของ ฝ่ายบริหาร ที่จะต้องดำเนินการ

ข้อที่สอง คือ ในการประชุมสภาฯ นั่นเอง เพื่อให้เกียรติ กับ เพื่อนสมาชิก ที่ได้มีการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ตนได้เสนอแนะให้ ทางท่านประธานรัฐสภา ได้เชิญวิปของ ทั้งฝ่ายรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้าน และ วุฒิสภา ซึ่งเข้าใจว่า จะมีการพบปะกัน ในวันพรุ่งนี้(27เม.ย.) เพื่อที่จะได้มี การดำเนินการว่า จะชำระสะสาง ประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างไร โดยตน ยืนยันว่า รัฐบาล และ หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง จะให้ความร่วมมือ อย่างเต็มที่ กับการที่จะได้ ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ในส่วนของ หน่วยงาน แต่ละ หน่วยงานเอง หากมีเหตุการณ์ คำร้องเรียนใด ๆ ก็ต้องดำเนินการ ในการให้ได้ข้อเท็จจริงมา และ ก็ยืนยันว่า กำลังพล หรือ บุคลากร ของทุกหน่วยงานนั้น จะต้องปฏิบัติตามนโยบาย ตามกฎหมายเท่านั้น และ ก็จะต้องมี การตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตนตั้งใจว่า

บรรดาข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการนำเสนออยู่ ในขณะนี้ ควรจะได้มี การตรวจสอบพิสูจน์ และมีการชี้แจงเผยแพร่ให้ พี่น้องประชาชน ได้รับทราบข้อเท็จจริง ทุกแง่ทุกมุม ความจำเป็น ในเรื่องนี้ ที่จะต้องทำ มีเหตุผลสำคัญ 2 ประการ

ประการแรก คือว่า คิดว่าอันนี้ เป็นมาตรฐาน ในเรื่องของ ความโปร่งใส และ ธรรมาภิบาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ อะไรขึ้น ก็ต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ ชำระสะสาง และ ประมวล ออกมาให้ พี่น้องประชาชน รับรู้ รับทราบ เหมือนในต่างประเทศ แม้กระทั่ง ที่เขาประชุม G 20 กันไป ที่ลอนดอน ปรากฏว่า มีเหตุการณ์ ที่ ตำรวจ ไปปะทะกับ ผู้ชุมนุม เขาก็ต้องมี การสอบสวน ให้ชัดเจนว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ความรุนแรง ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร

ประการที่ 2 คือตน ยังมีความเป็นห่วงว่า ยังมีคนจำนวนหนึ่ง ครับ พยายามที่จะนำเสนอข้อมูล ซึ่งคลาดเคลื่อน หรือ ข้อมูล ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ แล้วก็ไปทำให้ เกิดอารมณ์ความรู้สึก ของ ประชาชน ที่จะนำไปสู่ความรุนแรงให้เกิด ขึ้นได้อีก

“ยกตัวอย่างว่า ขณะนี้ ก็มีคนเอาใบปลิว มาให้ผมดู อ้างว่าเป็นใบปลิว จาก ผู้สื่อข่าว ช่อง 3, 5, 7, 9 ที่บอกว่า ไม่สามารถเสนอความจริงได้ กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และ ก็ไปบรรยายว่า จริง ๆ แล้ว มีความรุนแรง มีการตาย มีอะไร แต่ที่ผมเห็นชัดเจน และ คลาดเคลื่อน ก็คือว่า พูดถึงเหตุการณ์ที่ กระทรวง มหาดไทย ก็บอกว่า ผมไม่ได้อยู่ในรถยนต์ คันที่มีการทำร้าย แล้วก็ไม่ได้มีอะไร เป็นเรื่องของ การวางแผน เพื่อที่จะสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์เอง ผมทราบ และ พี่น้องประชาชน ที่ดูข่าว ก็จะทราบว่าไม่ได้เป็นความจริงเลย ตามที่มี การกล่าวอ้าง ในใบปลิว ลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น ในเรื่องของ การประมวลเหตุการณ์ ต่าง ๆ นั้น ก็เพื่อความโปร่งใส” นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า อยากจะเรียน พี่น้องประชาชนว่า ในช่วงนี้ ถ้าท่านได้ข้อมูลอะไร ขอให้ท่าน ได้ใช้วิจารณญาณ ไตร่ตรองแยกแยะ และ ถ้าสงสัย จะมีกระบวนการการพิสูจน์ ชี้แจงต่อไป ซึ่งตนย้ำว่า จะไม่ได้ทำโดย รัฐบาลฝ่ายเดียว แต่ฝ่ายนิติบัญญัติ ก็จะดำเนินการ และ ตนเข้าใจว่าคงจะมีการนำเรื่องเหล่านี้ไปสู่ องค์กรอิสระอื่น ๆ เพื่อที่จะได้ ชำระสะสางต่อไป ตนย้ำเรื่องนี้ เพราะว่า ตนไม่ต้องการให้ การปฏิบัติงานของรัฐบาล และ เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพียงแค่ นำกฎหมาย และ ความสงบ กลับคืนมา ถูกนำไป เป็นเงื่อนไข ที่จะเป็น ความขัดแย้ง เพิ่มเติม และตน ก็ได้แสดง ความบริสุทธิ์ใจ ในเรื่องของ ความโปร่งใส และ การรับการตรวจสอบ อยู่ตลอดเวลา

เชิญทุกฝ่ายร่วม หาทางออก ทางการเมือง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ที่จะต้องมี การดำเนินการ แน่นอน คือ ต้นเหตุ ของความขัดแย้ง ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเรื่องของ การเมือง เพราะฉะนั้น การหาทางออก ทางการเมือง ก็มีความจำเป็น เช่นเดียวกัน หลังจาก การประชุมรัฐสภาแล้ว ตนได้ขอให้ ประธานรัฐสภาได้เชิญทุกฝ่ายมา เพื่อที่ จะเดินหน้า

ในการติดตาม ในเรื่องของ การแสวงหาทางออก ทางการเมือง แต่ตรงนี้ คงจะไม่สามารถทำได้ ลำพัง เฉพาะ ฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะเป็นเรื่องของ สังคม ทั้ง สังคม เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึง เรื่องของ การปฏิรูปการเมือง การแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ หรือ การสมานฉันท์ใด ๆ ก็ตาม

กระบวนการนี้ ต้องเป็นกระบวนการ ที่ทุกฝ่ายเข้ามา มีส่วนร่วม คิดว่าตรงน ี้เป็นเรื่องของ ความจำเป็น เพื่อที่จะปรับ ฐานการเมือง ให้ทุกฝ่าย ได้ยอมรับกฎกติกาต่าง ๆ ที่มีอยู่ ก่อนที่ เราจะ แสวงหา ทางออก ทางการเมือง ในขั้นต่อไป เพราะถ้าหากว่า ขณะน ยังไม่ชำระสะสางกัน ในเรื่องนี้ การเรียกร้อง ให้มีการเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองใด ๆ คงไม่สามารถ ที่จะแก้ไขปัญหาพื้นฐานได้ เพราะว่า จะทำให้เราย้อนกลับไป อยู่ในสถานการณ์ อย่างที่เราได้ผ่านมา ในช่วง 2-3 เดือนนี้


นายกฯ กล่าวว่า เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นอีก ขั้นหนึ่ง อีกก้าวหนึ่ง ที่คิดว่า จะเป็นก้าวสำคัญ ในการคลี่คลายสภาพปัญหา ต่าง ๆ ที่เป็น ความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การทำงาน ของ ฝ่ายนิติบัญญัติ อยากจะบอกว่า ไม่ได้หมายความว่า ฝ่ายอื่น ๆ จะเพิกเฉย สถาบัน องค์กรต่าง ๆ ซึ่งตนได้เคยร้อง ขอให้เข้ามาดูแล อย่างเช่น สถาบันพระปกเกล้า หรือ หน่วยงานวิชาการ หรือ สภาพัฒนาการเมือง หรือหน่วยงานอื่น ๆ ก็ควรที่จะได้มี การติดตาม และ ทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง


“แม้กระทั่ง ที่ผมได้พูดไปก่อนหน้านี้ว่า น่าจะพิจารณาให้ กว้างขวาง เปิดกว้างเอาไว้ ยกเว้น ในเรื่องของ การนิรโทษกรรม ในเรื่องของ คดีอาญา สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีการสะท้อน ความคิดเห็นต่าง ๆ มากมาย เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทาง สมาชิกรัฐสภา ทุกคน ก็พึงที่จะ รับฟัง ในการหาคำตอบ ต่อไป ผมเอง จะไม่ชี้นำ อะไรครับ ในส่วนของผม ถือว่าเป็น ส่วนหนึ่ง ของ พรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งจะมี คณะทำงาน หรือ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ในการเสนอความเห็น ของ พรรค พร้อม ๆ ไปกับ การที่พรรคการเมืองอื่น ๆ จะได้ เสนอความเห็น เข้ามา เพราะฉะนั้น ใน 2 เรื่องนี้ครับ คือ ก้าวสำคัญ หลังจากที่เราได้สรุป ในเรื่องของ การประชุมรัฐสภา”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

รัฐบาล ขอแรง องค์การอื่น แจงเรื่อง สองมาตรฐาน

นายกฯ กล่าวย้ำ เรื่องสองมาตรฐานว่า เห็นว่า ในการประชุมรัฐสภา ที่ผ่านมา ก็มีการพูดถึง ประเด็นบางประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาเรื่องสองมาตรฐาน ตนขอย้ำว่า ในส่วน ของ ฝ่ายบริหาร หรือ ในส่วนรัฐบาลเอง ในเรื่องของ สองมาตรฐานไม่มี ตนทำงาน ทุ่มเท ทำงานให้กับ ทุกคนเสมอภาคกัน

ส่วนปัญหาคดีความต่าง ๆ หรือแม้กระทั่ง การตัดสินต่างๆ ที่ผ่านมา หลายส่วน เป็นเรื่องของ อำนาจ ของ ฝ่ายตุลาการ หรือ องค์กรอิสระ ซึ่งตนคิดว่า หน่วยงานเหล่านั้น ควรจะได้ทำคำชี้แจงว่า การตัดสินต่าง ๆ มีเหตุมีผล มีเรื่องของ ข้อกฎหมายรองรับ อย่างไร ส่วนถ้า กฎหมายที่เป็นที่มาของ การตัดสินตรงนั้น มีความไม่เป็นธรรม หรือ มีความบกพร่อง หรือ ไม่สมบูรณ์อย่างไร ก็จะได้เป็นการสรุป เพื่อที่จะให้คณะที่ดูแลในเรื่องของ การแก้ไขปัญหาทาง การเมือง นำไปประกอบ การพิจารณา

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า แต่ในส่วนของ ฝ่ายบริหารเอง ก็ยังมี เรื่องที่จะต้องดำเนินการต่อ ขอเรียนว่า การดำเนินคดี ตามกระบวนการยุติธรรม จากนี้ไป ไม่ว่าจะ เกี่ยวข้องกับ แกนนำผู้ชุมชน ไม่ว่าจะไป เกี่ยวข้องกับสื่อใด ๆ ก็ตาม จะได้ยึด ตามกฎหมายเท่านั้น แล้วจะไม่มีการเอา อำนาจพิเศษ ในเรื่องของพระราชกำหนด มาเป็นตัวตั้ง ในการที่จะไปดำเนินการ เพื่อมุ่งที่จะไป กลั่นแกล้ง หรือ ไปคุกคาม หรือ ไปอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเด็ดขาด และ เมื่อเราได้วาง แนวทาง กติกา เช่นนี้แล้ว

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืน ได้ประกาศยกเลิก ภาวะฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งหมายความว่า อำนาจของรัฐบาล ตาม พ.ร.ก. ก็สิ้นสุดลง แต่ไม่ได้ หมายความว่า ผู้ที่มี ความรับผิดชอบ ในการรักษา ความสงบเรียบร้อย ในบ้านเมือง หรือ ความมั่นคง จะหยุดทำงาน ท่านเหล่านี้ จะทำงานต่อ ภายใต้กรอบกติกาของ กฎหมายปกติ ต่อไป

นายกฯ กล่าวว่า ทั้งหมดที่ทำ เพื่อต้องการให้เรา ยุติความรุนแรง และ นำความปกติ กลับคืนมาสู่บ้านเมือง แต่กระบวนการตรงนี้ ยังต้องอาศัยความร่วมมือ จาก พี่น้องประชาชน ต่อไป ในช่วง 2 สัปดาห์ ข้างหน้า ตนคิดว่า มีวันสำคัญ ๆ มากมาย ซึ่งบ่งบอก ในเรื่องของ การสนับสนุน สถาบันหลักของชาติ

ซึ่งขอถือโอกาสนี้ เชิญชวนพี่น้องประชาชน เราจะมีทั้ง วันแรงงาน วันพืชมงคล ซึ่งเป็นวัน ที่แสดงออก ถึงการยอมรับกลุ่มคน ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ นั่นคือ เกษตรกร และ ผู้ใช้แรงงาน เราจะมี วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็น วันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา ก็ถือโอกาสเรียนว่า ที่มีข่าวว่า ไปตัดงบประมาณ ลงเหลือ 2 ล้าน หรืออะไรนั้น ไม่เป็นความจริง ขณะนี้ มีการขอ งบประมาณ งบกลาง มา สำนักงบประมาณ กำลังเร่งรัดให้ และ งานทั้งหมด ก็คงจะมี งบประมาณ ประมาณ 56 ล้านบาท

“ขอถือโอกาส เชิญชวน พุทธศาสนิกชนว่า ในช่วงจากนี้ไปจนถึง วันวิสาขบูชา ขอให้ท่าน ได้ร่วมกันจะ ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ภาวนา หรือเข้าไปร่วม ในกิจกรรมทาง ศาสนาใด ๆ เพื่อที่จะเตือนสติ สังคมทั้งสังคม ว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ความสงบสุข และ การไม่มีความขัดแย้ง กันนะครับ” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่สอง ของรายการ นายกฯ ได้เชิญ นายอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ มาทำหน้าที่ ผู้ดำเนินรายการ ซักถาม นายกฯ ถึงประเด็นต่าง โดย ผู้ดำเนินรายการ ได้ถาม ถึง กรณี ที่พัทยา และ มหาดไทย โดย นายกฯ กล่าวว่า คิดว่ามันคงมี สองส่วน

ส่วนแรก หลายคนที่รู้จักตน ก็จะทราบว่า ตนไปไหนมาไหนธรรมดา ค่อนข้างจะไปง่าย ๆ สบาย ๆ ตั้งแต่เป็น ผู้แทนฯ เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ยังถูกแซวอยู่เรื่อย ๆ ว่า เวลาที่เดินทาง เมื่อก่อนนี้ เดินทางสมมติว่า ไปขึ้นเครื่องบิน ก็จะไปทำตั๋ว ไปทำอะไร ด้วยตัวเอง แล้วก็ไป บางที ก็เดินไปคนเดียว แล้วก็ชอบถือ เอกสารของตัวเอง อะไรต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ก็พยายาม บอกเขา มาตลอดว่า อย่าไปทำอะไรมาก ทีนี้ ก็ไม่คาดคิดว่า การชุมนุมต่าง ๆ ทางการเมือง จะบานปลายไป เป็นลักษณะนี้ เพราะฉะนั้น อันนั้น ก็อาจจะเป็น จุดแรก ซึ่งต่อไปนี้ ก็คงจะต้องฝืนใจตัวเอง นิดหน่อย แล้วก็ต้องยอมรับ มาตรการ ที่มันเข้มข้นขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า

ส่วนที่สอง ก็เป็น ภาพรวมด้วย ว่าไม่ว่าจะเป็นที่ พัทยา หรือไม่ว่าจะเป็น ที่ไหนก็ตาม ก็อาจจะมี ข้อบกพร่อง ในบางส่วน ซึ่งต้องแก้ไข แต่อีกส่วนหนึ่ง ก็คือเรา ก็นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะมี การประกาศ ถึงขั้นว่า จะจับตัว จะไล่ล่า จะอะไร ก็แล้วแต่

แต่ว่าต่อไปนี้ ก็ต้องปรับปรุง เพราะว่า ไม่อย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องของตน มันเป็นเรื่องของ ผู้นำของประเทศไทย แล้วก็มัน ก็ส่งผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของประเทศ และ ความมั่นใจที่ ชาวโลกจะมี โดยเฉพาะ ผู้นำต่างประเทศ ซึ่งเขาจะต้องเดินทาง เข้ามาด้วย ตอนนี้ ก็มีการปรับ ไปพอสมควร ทั้งในส่วนที่ อยู่กับตน ตลอดเวลา และ ในส่วนที่ สถานที่สำคัญต่าง ๆ ก็ต้อง ขออภัย ด้วย ว่า เวลาที่ไปงาน ขบวนใหญ่ขึ้น และอาจจะมี การเข้มงวดกวดขัน มากขึ้น ในการตรวจตรา คนที่เขาไปร่วมงาน ก็อาจจะทำให้ มีความรู้สึกว่า เอ๊ะ มันไม่เหมือนเดิม แต่ก็ขอ ความเข้าใจ

ในเรื่องนี้ ถามว่า ตนชอบใจไหม ตนก็ไม่ชอบใจหรอก ยังอยากจะ ไปไหนมาไหน คนเดียว แต่ว่าทุกคน ก็ต้องทำหน้าที่ และมีความรับผิดชอบ ของตัวเอง ฝ่ายที่เขา มีหน้าที่ ในการรักษาความปลอดภัย เขาเห็นถึง ความจำเป็น ก็ต้องดำเนินการ

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า กรณี ผู้นำต่างประเทศ ต้องเป็น ความปลอดภัยสูงสุด อันนี้ย้ำอยู่แล้ว แล้วก็ที่จริง ก็แม้ว่า เกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ก็ดูแล เรื่องความปลอดภัย เรียบร้อยดี ยังมี หนังสือขอบคุณ มาจาก ผู้นำหลายประเทศ เหมือนกัน ที่บอกว่า เราได้ดูแลเขา เป็นอย่างดี

ส่วนของการชุมนุม ที่อาจจะเป็นปัญหานี้ ส่วนหนึ่ง ก็เป็นเพราะว่า หนึ่ง ทางเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะ ตำรวจเอง ก็เปิดใจกับตนว่า ไม่ค่อยแน่ใจว่า กฎหมายคุ้มครอง เขาแค่ไหน เขาก็เกร็ง เพราะว่า ในช่วง 2 – 3 ปี ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ อะไรขึ้น พอมีการตรวจสอบ มีอะไรต่าง ๆ นี้ คุ้มครองเขาแค่ไหน

เพราะฉะนั้น อันนี้ ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่เราคิดถึง เรื่องการปรับปรุงกฎหมาย ต่อไป กับ ประการที่สอง คือ ต้องให้ความมั่นใจว่า สมมติเขาทำ ตามนโยบาย และ ก็ทำตามความจำเป็น สมควรแก่เหตุ “ผมยืนยันว่า ฝ่ายการเมือง ซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาเขา จะต้องเข้าไปรับผิดชอบ ใน เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นะครับ ทีนี้ ในช่วงของ การชุมนุม หรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ นี้ เขาพยายามใช้วิธี การเจรจา เสร็จแล้ว ปรากฏว่า พอเจรจากันไป เจรจากันมา ก็เหมือนกับ ปล่อยปะละเลย เหมือน ปล่อยผ่านมา อันที่หนึ่ง นะครับ อันที่สอง ในช่วงจนถึง พัทยา นี้ เราก็ พยายามไม่อยากให้ มีภาพ ความรุนแรง อะไรเลย เพราะฉะนั้น ตำรวจ หรือ แม้กระทั่ง ทหารเอง บางทีมีแต่ โล่ห์ อย่างเดียว ซึ่งพอเหตุการณ์ มันลุกลามปั๊บ เราประกาศใช้ พ.ร.ก. มัน ก็จึงต้องเปลี่ยนแปลงไป ในชั้นนี้ ก็จะหาความลงตัว ความพอดี เลิก พ.ร.ก. ก็จริง แต่ว่า ต้องเข้มงวด ไม่ให้สถานการณ์ มันย้อนกลับไป เหมือนก่อนสงกรานต์อีก” นายกฯ กล่าว


เมื่อ ผู้ดำเนินรายการ ถามว่า มีหลายฝ่าย เรียกร้อง ความรับผิดชอบ จาก ฝ่ายการเมือง กับ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ท่านมอง เรื่องนี้อย่างไร ต้องมี การเปลี่ยนแปลง ไหม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คือฝ่ายการเมืองเอง เราอย่างที่เรียน กำลังมาทบทวนดู ต่อสภาพปัญหาต่าง ๆ ทั้งหมด แล้วก็ ตนคิดว่า ในช่วงตั้งแต่ การประกาศพระราชกำหนดฯ มาจนถึงวันนี้ ทุกอย่าง ก็ค่อนข้าง เป็นไปด้วยดี เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ถ้าหากว่า เราสามารถทำงานต่อ ในระดับนี้ได้ ก็ไม่น่า จะมีปัญหาอะไร แต่อย่างไรก็ตาม การสรุป จุดอ่อน ข้อบกพร่อง ความผิดพลาด ทั้งหลาย ซึ่งมัน มีแน่นอน ในช่วง 2 – 3 เดือน ที่ผ่านมา ตรงนี้ ก็จะต้องแก้ไข กันไป เมื่อถามย้ำว่า จะมีการเปลี่ยน หรือ เปล่าไม่แน่ใจ ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็จะมา ปรึกษาหารือกัน กับทุกฝ่าย อีกครั้ง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนยืนยันว่า ตนมีความเชื่อ ในเรื่องของ ประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น อำนาจพิเศษ ตนหลีกเลี่ยงอย่างถึงที่สุด ที่จะไม่ใช้ ฉะนั้น ใครที่บอกว่า ตนไปมุ่งใช้ กฎหมายพิเศษ ทำลายล้างรุนแรง ถึงขั้นกับ กล่าวหาว่า ตนไปสั่งฆ่าประชาชน มันเป็นไป ไม่ได้เลย ตรงกันข้าม ก่อนที่จะ ประกาศใช้ พ.ร.ก. นี้ ตนถูกถามมาว่า เกือบเป็นเดือน ว่า เมื่อไรจะใช้ เมื่อไรจะใช้ ตนก็ยืนยันว่า ไม่อยากใช้ เช่นเดียวกับ การใช้สื่อ ก็ใช้เท่าที่จำเป็น

ทีนี้ตนคิดว่า วันนี้ สังคม มีบทเรียน ตนไม่อยาก ให้เป็นเรื่องว่า รัฐบาลไปบังคับ รัฐบาลต้องไปสั่ง ทุกคน มีบทเรียน สื่อสารมวลชน ประชาชน ทั่วไป วันนี้ ตนยืนยัน อีกครั้งหนึ่ง

“เมื่อคืนก็ชุมนุมกัน ใช่ไหมครับที่ สนามหลวง ก็ตราบเท่าที่ ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ก็ไม่มีปัญหา ผมยังไม่ทราบว่า รายละเอียด ในเรื่องของ การชุมนุมนี้ มีอะไรบ้าง แต่ว่า โดยรวม เหตุการณ์ ไม่ได้มีปัญหาอะไร และก็ ชุมนุมแล้ว ก็เลิกกันไป จะนัดชุมนุมใหม่ จะโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ ผม ไม่มีปัญหา แต่ต้องไม่มีเรื่องของ การยุยง ให้เกิด ความรุนแรง เหมือนกับ ที่บางคนบอก เอ๊ะ ทำไม มีการไปปิด วิทยุชุมชน สถานีโทรทัศน์ บางช่อง ผมก็บอกว่า ถ้าเขาดำเนินการ ถูกต้องตามกฎหมาย ทุกอย่าง ไม่มีปัญหาเลย แม้จะ ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ ผม รุนแรง แค่ไหน อย่างไร ทำได้นะครับ

แต่ถ้าเมื่อไร บอกว่า ให้คนไป ไล่ล่าจับ คนนั้นคนนี้ ไปทำให้เกิด การกระทำ ที่ผิดกฎหมาย เช่น ปิดถนน หรือ มีการเผา หรืออะไรอันนี้ ไม่ได้ ก็มีอยู่เท่านั้นเอง แล้วก็ ได้มอบนโยบาย ชัดเจน ให้กับทุก ๆ ฝ่าย ว่า ขอให้ ยืนยันแนวทางนี้

ถามว่าแนวทางนี้ จะนำความสงบ มาได้ไหม ผมก็บอกนะครับ ขอย้ำอีกครั้งว่า เลิก พ.ร.ก. แล้ว แต่ว่า เจ้าหน้าที่ทั้ง ตำรวจทหาร ก็ยังช่วย ดูแล รักษา ความสงบเรียบร้อย และ เขามีบทเรียนแล้ว นะครับ ว่า ก่อนสงกรานต์ เป็นอย่างไร ช่วงสงกรานต์ ต่าง ๆ มันเกิดอะไรขึ้น” นายกฯ กล่าว

เมื่อผู้ดำเนินรายการ ถามว่า เข้มเกินไป กับ ปล่อยเกินไป เป็นอย่างไร พอมองในความรู้สึกว่า นี่จะเป็นบทเรียน ให้กับ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องเป็นบทเรียน ที่หา ความพอดี ตรงนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้น ตนยังให้ความมั่นใจว่า การดูแลตรงนี้ จะดีขึ้น ในทางกลับกัน ใครที่คิดว่า เราจะสามารถนำความสงบ โดยการใช้อำนาจพิเศษ ตลอดไป เป็นไปไม่ได้ แล้วก็ ไม่สมควรด้วย เพราะว่า อย่างที่ตนย้ำไปว่า ต้นเหตุความขัดแย้ง ส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องการเมือง ก็ต้องไปแก้ด้วย การเมือง ซึ่งก็เป็นเหตุผล ที่เรากำลังให้มี คณะทำงาน โดยฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีความเป็นกลาง ในการที่ จะทำตรงนี้ต่อไป คืออยากจะ เปรียบเทียบให้เห็น แม้กระทั่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เอง ใช้ พ.ร.ก. ต่อเนื่องมา ต่ออายุกันมา 14 หรือ 15 ครั้งแล้ว มันก็เป็น เครื่องมือ ที่สำคัญ แต่มันอยู่ตลอดไป ไม่ได้ ตนก็ย้ำตรงนี้ และ พยายาม จะดูว่าทำอย่างไร ที่จะสามารถหาแนวทาง ในการที่จะ เพิ่มประสิทธิภาพ ตรงนี้ และ สุดท้าย นำไปสู่ การยกเลิก ให้ได้เช่นเดียวกัน

“ผมขอยืนยัน อย่างนี้นะครับว่า ผมให้ความสำคัญกับ ข้อมูลของ ทุกคน ช่วงเกิดเหตุการณ์นี้ ระหว่างที่ ประกาศ พ.ร.ก. เมื่อใด ที่มีข่าวนะครับ มีใครเสียชีวิต มีใครถูกยิง หรืออะไรนี้ ผมจะให้ ตรวจสอบ ทันที แล้วก็ ตรวจสอบ โดย บุคคลซึ่งไม่ได้มี ส่วนได้เสีย เอา หมอ เอา ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เอา หน่วยงานอื่น ๆ เข้ามาช่วยกันดู เพื่อให้ ประชาชนสบายใจ ว่า ของจริง คืออะไร และ

เรื่องนโยบาย ถ้ามีการไปสอบถาม บรรดาผู้นำ จะเป็น ตำรวจ ทหาร จะทราบเลย นะครับ ตัดสินใจสำคัญ ๆ เช่น ผมบอกเลยว่า การชุมนุม ที่ทำเนียบฯ ที่อยู่กัน หลายพันคน แม้ บางคนบอกว่า ให้สลาย เลย ผมก็เป็นคนตัดสินใจบอก ไม่ได้ เสี่ยงต่อ การที่จะเกิด ความสูญเสียขึ้น อย่างนี้เป็นต้น ค่ำคืนบางคืน มีเหตุที่พบ คนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ไปยิงทหาร ที่อยู่ตามจุดต่าง ๆ เขาก็มาขอ นโยบาย ผมว่า ตอบโต้ได้ไหม ผมบอก อย่าไปทำเลย เกิดยิงสวนไป คนตาย เป็นใครก็แล้วแต่ จะเป็นเรื่องใหญ่นะครับ ทำให้ความขัดแย้ง ลุกลามไป ก็บอกว่า ให้อดทนอดกลั้น ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยมา ประเมินทบทวน กันอีกที แนวทาง ผมชัดมาก” นายกฯ กล่าว

นายกอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้น พอมาวันนี้ อย่างเช่น ใน สภาฯ บางที มีภาพนิ่งออกมา นี่มันเกิดขึ้นหรือเปล่า เราต้องไปเอาคลิป ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว ทั้งหมด ให้ทราบว่า ก่อนจะไปถึง ภาพนิ่ง ตรงนั้น อะไรมันเกิดขึ้น หรือ อย่างกรณี คลิปต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ ก็ยังมีบางอัน ที่มีความไม่ชัดเจน ตนก็จะให้ มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วมีการชี้แจงต่อไป อย่างโปร่งใสที่สุด ส่วน การสะท้อนออกมา เช่น มี ส.ส. ภาคเหนือ บอกว่า ในพื้นที่ภาคเหนือ ไปจับกุมอะไรเกินเลยไปหรือเปล่า ตนเชิญมาคุยเลย เขาเรียก หลังบัลลังก์ ของท่านประธาน มาคุยกัน มันเป็นอย่างนั้นเหรอ ตนก็ต่อสายคุย กับ ทางตำรวจ ในพื้นที่เลย ให้คุยกัน ทำความเข้าใจกันนะว่า คนที่เขา มาชุมนุมเฉย ๆ ไม่มีอะไร อย่าไปยุ่งกับเขา แต่คนที่ไปยุยง บอกว่า ให้ทำผิดกฎหมาย อันนี้ เราก็ต้อง รักษากฎหมาย เท่านั้นเอง แต่ว่า อย่าไปทำอะไร เกินเลย เพราะนั้น แนวทางตน เป็นอย่างนี้ตลอด และ ทำอย่างนี้ ต่อไป

เมื่อถามว่า ข้อเท็จจริง โดยคนกลาง จะมาเมื่อไร เพราะถ้าหาก ข้อเท็จจริง โดยคนกลาง ยังไม่ออกมา ฝ่ายที่เห็นประเด็น ที่ไม่ตรง กับ นายกฯ ก็ต้องออกมา

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คือที่จริง ขณะนี้ ตนอยากจะเรียนอย่างนี้ว่า เวลาที่มีการชี้แจง ขณะนี้ เราไม่ได้พูดถึง ความเห็นเลย เราเอาข้อเท็จจริง มากางให้ดู อย่างที่บอกนี้ ภาพเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นจริง เป็นอย่างไร หรือ รายงาน การสอบสวน สืบสวนสอบสวน ในเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น มีคนนี้ เป็นพยาน ยืนยัน ว่า อะไร อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของ การให้ข้อมูล เฉย ๆ ยังไม่มี เรื่องความเห็น เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่อง เป็นกลาง หรือ ไม่เป็นกลาง เป็นว่า ตรงไหน ข้อมูลครบถ้วนที่สุด ส่วนคนที่ ประมวลเหตุการณ์ ตนได้พูดไปแล้ว สำนักนายกฯ ทำส่วนหนึ่ง หน่วยงานภายใน ก็ต้องทำส่วนหนึ่ง ฝ่ายนิติบัญญัติ ก็จะมาทำ และ ถ้ามีความจำเป็น ในการที่จะให้ องค์กรอิสระเข้ามาตรวจสอบ รัฐบาล ก็ยินดีให้ความร่วมมือ

นายกฯ กล่าวถึง การตามหาตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ว่า อยู่ต่างประเทศ และ ก็คือ เคลื่อนไหว อยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ตนได้เรียนกับ เพื่อนสมาชิกรัฐสภา ได้อภิปรายช่วงสรุป และ ได้รับการตอบสนอง ด้วยดี

คือตนบอกว่า เรื่องการเมืองนี้ ท่านจะเรียกร้องอะไรกันต่อไป อย่างเมื่อคืนที่ สนามหลวง เขาเรียกร้อง เรื่องรัฐธรรมนูญปี 40 ว่าสิทธิ ของ D Station วิทยุชุมชน ต้องเป็นไป ตามกฎหมาย อะไรต่าง ๆ อันนี้แล้ว ก็ความชัดเจน ในเรื่องเหตุการณ์ นี่ไม่มีปัญหาเลย เราก็จะมาดูแลกันต่อ แต่ตนขอไว้ 2 เรื่อง

เรื่องแรก ก็คือว่า การไปดึง สถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาเกี่ยวข้อง ขอให้หยุด ซึ่งขณะนี้ ก็ต้องขอบคุณ และตนเข้าใจว่า ในส่วนของ ส.ส. ฝ่ายค้าน คนที่เคลื่อนไหวต่าง ๆ ก็ดูจะ ไม่ได้พูดถึง เรื่องนี้

“ส่วนกรณี อดีตนายกฯ หรือ คุณจักรภพฯ จะพูดไป ก็ขอให้เป็นเรื่อง เฉพาะบุคคล แล้วเรา ก็จะต้องดำเนินการ และ ในส่วนของรัฐบาลเอง ก็ทำหน้าที่ ในการชี้แจงกับ สื่อต่างประเทศ ไป คือผม ก็สังเกตว่า ตอนหลัง สื่อต่างประเทศ ก็มีความเข้าใจ ชัดเจน ยิ่งขึ้นว่า จริง ๆ แล้วการไปถึงขั้น ที่เรียกว่า จาบจ้วง หรือ กล่าวหา สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงอยู่เหนือการเมือง พระองค์ท่าน ทรงอยู่เหนือ การเมือง และ สถาบัน ทั้งสถาบัน อยู่เหนือการเมือง ก็ดูมี ความเข้าใจ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ กับพฤติกรรม ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีการพูดถึง การจะไปใช้ความรุนแรง ประกาศ จะใช้อาวุธ ผมคิดว่า ขณะนี้ นานาชาติ เขาต่อต้านด้วยซ้ำ การที่ไปเรียกร้อง ให้มีการใช้อาวุธนี้ ความจริง ก็แทบจะไม่ต่างจาก ผู้ก่อการร้าย แล้ว เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ผมว่า ความร่วมมือ จาก ต่างประเทศ ความเข้าใจ จาก ต่างประเทศ จะดีขึ้น

ประการที่สอง คือ ความรุนแรง ทั้งหลาย ที่มาชักชวนว่าให้ รุนแรง กัน มาแสดง ความขอบอก ขอบใจ ว่า สามารถขัดขวาง การประชุมนานาชาติ ได้ ผมก็ยิ่งคิดว่า ทำให้ ต่างประเทศ เขามองเห็น ว่า จริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่อง การเรียกร้องประชาธิปไตย หรือ ไม่ ส่วน การเรียกร้องประชาธิปไตย โดยคนจำนวนมาก ที่มีความรู้สึกจริง ๆ อย่างที่ผม ได้บอกไป ก่อนหน้านี้ ก็กำลังให้ ทางสภาฯ เข้ามาเป็น กลไกสำคัญ ในการแก้ไขปัญหา” นายกฯ กล่าว

เมื่อผู้ดำเนินรายการ ถามว่า เขายังสามารถ โฟนอิน หรือว่า เข้ามา วีดิโอลิงค์ ในการชุมนุม ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ กลุ่มผู้ชุมนุมฮึกเหิม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เข้าใจว่า เมื่อคืน ก็ไม่มี ยังไม่ได้ ตรวจสอบ ละเอียด ทั้งหมด แล้ว ถ้าหากว่า พูดจาในลักษณะ ที่ผิดกฎหมายอีก ก็เพิ่ม พูดง่าย ๆ ก็เพิ่มข้อหา การกระทำที่ผิดกฎหมาย มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งก็ไม่ทราบว่า จะทำไปทำไม อยากจะย้ำว่า ถ้าทำแล้ว คิดว่า จะเป็นเรื่องของ การเอาชนะกัน ในทางการเมือง คือ ชนะ – แพ้ ตนไม่ทราบ แต่ว่าประเทศเสียหาย

วันนี้ขอโอกาส ให้กับ คนไทย ขอโอกาสให้กับ ประเทศไทย ในการที่ จะดูแลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น ปัญหาพื้นฐาน ของ ประชาชน มาช่วยกันดูแล คนตกงาน มาช่วยกัน ดูแล ลูกหลาน ให้เรียนฟรี มาช่วยกัน ดูแลผู้สูงอายุ ให้ได้ ค่าตอบแทน ซึ่งทั้งหมดนี้ กำลังเริ่มต้น ปลายเดือนนี้ ต้นเดือนหน้า ทำไมไม่มา ช่วยกันทำ ตรงนี้ก่อน มาช่วยกัน กอบกู้ภาพลักษณ์ ของประเทศ ว่าเราได้รับ การยอมรับ บทบาทต่าง ๆ มาในอดีต ได้รับความไว้วางใจ ให้เป็น ประธานอาเซียน จัดการประชุม ครั้งสำคัญ เดินหน้า ในการที่จะเป็นกลไก หรือเป็น ส่วนสำคัญ ในการร่วมมือ กับ นานาประเทศ ในการแก้วิกฤต เศรษฐกิจโลก เหมือนกับ ที่เราได้รับเกียรติไปประชุมที่ ลอนดอน ที่อะไรต่าง ๆ ซึ่งบทบาทต่าง ๆ กำลังเป็นที่ยอมรับ

ตนไม่มา ขอโอกาสให้ ตัวเอง แต่ขอโอกาสให้กับ ประเทศชาติ กับประชาชน ส่วนใน เรื่องการเมือง อย่างที่ตนย้ำ ในคืนวันประชุมสภาฯ ไปดูกันทุกฝ่าย กติกา จะแก้กัน ตรงไหน แก้เสร็จแล้ว อยากจะไป เลือกตั้ง กันใหม่ ตนไม่ขัดข้อง

ผู้ดำเนินรายการ ถามว่า มีเวลายังเหลือ อีกนิดหนึ่ง แนวทางในการปฏิรูป นิรโทษกรรม คำนี้ออกมาเยอะ เหลือเกิน มันจะเป็นแนวทาง ที่เป็นข้อสรุปสุดท้าย ในการแก้ไขปัญหา หรือว่า เป็นแนวทาง ที่ทำให้ ผ่อนหายใจ ให้บรรยากาศ ทางการเมือง ช่วงนี้มันผ่านพ้นไป เท่านั้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนบอกว่า ประเด็นในเรื่องของ ความผิดทางการเมือง เอามาวางบนโต๊ะ กันได้ ส่วนจะ ทำหรือไม่ทำ ต้องมาพูดคุยกัน ด้วยเหตุด้วยผล อาจจะต้องมี กระบวนการ อาจะจะต้องถึงขั้น ไปทำประชาพิจารณ์ ประชามติ ก็ได้ แต่ตนก็อยากจะบอกว่า

1. ต้องแยก เรื่องความผิด ทางการเมือง ความผิด ทางอาญา ความผิด ทางอาญา นั้นไม่ควรจะพูดถึงเลย ตัดออกไป ส่วน ความผิด ทางการเมือง ต้องมาดู ปัญหามันเป็นอย่างนี้ บางคนบอกว่า กฎหมายไม่ดี ไม่สมบูรณ์ บางมาตรา อยากจะแก้ ปัญหาก็คือ พอแก้นี้ มันมีคน ได้ประโยชน เสียประโยชน์ มันก็จะมีคน อีกกลุ่มหนึ่ง ที่บอกว่า อย่างนี้ แก้เพื่อตัวเอง หรือเปล่า อันนี้ เป็นปม ที่มันค้าง มา 2 ปีแล้ว

ปีที่แล้ว ที่มีการชุมนุมกัน ทั้งปี มันเริ่มต้น จากจุดนี้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องหาความพอดีว่า ถ้าเราอยากจะทำนี้ หลักความเห็น ส่วนตัว ของตน ก็คือว่า อะไร ที่เป็นระบบ ที่ถูกต้อง ก็ไปให้ถึง จุดนั้น แต่อย่าไปคำนึง ถึงว่า ทำอันนี้ เพื่อที่จะให้ คนนั้นคนนี้ คืนสิทธิ์ หรือ ไม่คืนสิทธิ์ อย่างไร ทั้งสองด้านเลย คือ ไม่ควรจะตั้งเป้าว่า คนเหล่านี้ ควรได้รับการคืนสิทธิ์ หรือ คนเหล่านี้ เราควรจะดองเอาไว้ หรือ อะไร ไม่ควรจะมีอย่างนั้น ดูระบบ ก่อน ดูความเป็นธรรม ก่อน แล้วบางที คำตอบมันอาจจะไม่ใช่ว่า นิรโทษ หรือ ไม่นิรโทษ ก็ได้

อาจจะมีช่องทางอื่น อีกตั้งเยอะว่า แก้กฎหมายแล้ว จะมีบทเฉพาะกาล เขียนอย่างไร ให้มีความเป็นธรรม กับ ทุกฝ่าย ตอบคำถาม ของสังคมได้ แต่ว่าทั้งหมดนี้ ตนพูดเท่านี้ เพราะว่าเดี๋ยวจะหาว่า ชี้นำ อีก ก็ให้ ทุกฝ่าย เสนอ เข้ามาก่อน แล้วตน ก็ยอมรับ เสียงดังมาก ทั้งสองฝ่าย ว่าจะเป็น 40 มาแก้ 50 มาแก้ เสียงดังมาก ก็บอกว่า ตนเห็น พอพูดประเด็นนี้ไป สัปดาห์ก่อน หนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ก็ดีแล้วนะ น่าจะเป็นทางออก แล้วก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เสียงดังมาก บอกอย่าทำนะ ทำอันนี้ ไม่ได้ปรองดองนะ เพราะว่า เขาจะออกมาต่อต้าน ทุกคน ต้องฟัง ทั้งหมด และ มาช่วยกันคิด หา ทางออก ที่เป็นเหตุ เป็นผล

“เวลานี้เราก็ถือว่า หลายเรื่อง กลับเข้ามาสู่ ภาวะความเป็นปกติแล้ว แต่ว่า ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ที่ดูแล ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย คงต้องเข้มงวด เข้มข้น ไปอีกระยะหนึ่ง แต่ว่า วิถีชีวิต ของ พี่น้องประชาชน ผมอยากให้ สงบสุข เร็วที่สุด และ ส่วนหนึ่ง ที่ทำได้คือ พี่น้องประชาชนเอง อย่างที่บอก ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมมีกระบวนการทุกอย่าง ตอบคำถาม ใครติดใจอะไร พบข้อมูลอะไร ผิดปกติ ส่งไปที่หน่วยงาน ที่เขาเป็นกลาง เขาจะดูแลให้ แต่อย่าไปซุบซิบ ๆ บอกเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไป ปลุกระดม อย่าไปทำอย่างนั้น ผมให้ ความเป็นธรรม ทุกฝ่าย มาทำให้ บ้านเมือง ของเรา เดินไปข้างหน้า ด้วยกันดี กว่า เพื่อประโยชน์ ของทุกคน นะครับ ผมโดยส่วนตัว ไม่ได้ประโยชน์ อะไรหรอกครับ แต่ทุกคน จะได้ประโยชน์ จากการที่ บ้านเมืองสงบสุข และ เราได้มีเวลา ทุ่มเท แก้ไขปัญหา ให้พี่น้องประชาชน” นายกฯ กล่าว


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายก อภิสิทธิ์”
จาก manager multimedia

astv_mgr-200ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2552 11:48 น.
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000046610


พิมพ์ ข่าวนี้ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายก อภิสิทธิ์”


ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

February 8, 2009

เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ วันที่ 8 ก.พ. 52

hdprimetalknew700

คลิกที่นี่ เพื่อชม เทปออกอากาศ

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เสียงรายการ



เชื่อมั่นประเทศไทย
กับนายกฯ อภิสิทธิ์
ออกอากาศ 8 กุมภาพันธ์ 2552

รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์” วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ออกอากาศสด ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT และ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์

สวัสดีครับ พี่น้องประชาชน ที่เคารพครับ พบกันอีกครั้ง ทุกวันอาทิตย์ ผม อภิสิทธิ์ วันนี้ก็ได้กลับมาพบปะกับ พี่น้องนะครับ หลังจากที่ สัปดาห์ที่แล้ว อยู่ในช่วงของ การเดินทางกลับจาก สวิสเซอแลนด์

ที่จริงเช้าวันนี้ เกือบจะไม่ได้มีโอกาส มานั่งตรงนี้เหมือนกันครับ เพราะว่าเดินทางกลับจาก ประเทศญี่ปุ่น ต้องมี การเปลี่ยนเที่ยวบิน เพราะเที่ยวบิน ที่จะกลับมา ถูกยกเลิกไป แต่ว่าโชคดี ที่มีเที่ยวบิน ที่เปลี่ยนให้ ก็สามารถกลับมาถึง ประเทศไทย ด้วย ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ นะครับ

สำหรับเช้าวันนี้ เช่นเดิม เราก็จะมาคุยกันของงานต่างๆ ที่รัฐบาลได้มีการ ดำเนินการไป เพื่อประโยชน์ของ พี่น้อง ประชาชน และ เพื่อประโยชน์ ของ ประเทศชาติ

ครับผมทราบดีว่า ผมกลับมา ผมเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน เมื่อเช้านี้ มีข่าวคราว ในเรื่องของ การเมือง เรื่องของ การตอบโต้ อะไรกันมากมาย กระผมขอย้ำว่า รายการทุกเช้าวันอาทิตย์นี้ คงจะไม่เป็นเวที ที่จะตอบโต้อะไรกันนะครับ แต่เป็นหน้าที่ของผม ในฐานะรัฐบาล ที่จะมารายงานให้ พี่น้อง ประชาชน ทราบ ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ นะครับ ซึ่งจะเป็น ประโยชน์ กับ ประเทศชาติ และ ส่วนรวม มากกว่า

ครับ สัปดาห์ ที่ผ่านมา รัฐบาลก็ยังต้องเดินหน้า ในเรื่องของ การแก้ไข ปัญหาเศรษฐกิจ นะครับ หลังจากที่ สัปดาห์ก่อนเนี้ย ได้พูดคุยกันมา และ ได้ผลักดัน ในเรื่องของ การกระตุ้นเศรษฐกิจ รอบแรกไปแล้ว

ครับ ก็อยากจะเรียนอย่างนี้ครับว่า ในช่วง วันอังคาร และ วันพุธ ได้มี การประชุมคณะรัฐมนตรี ประชุมคณะรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ตามปกติ นะครับ ครับ ก็มีความคืบหน้าหลายเรื่อง ที่อยากจะรายงานให้ พี่น้อง ประชาชน ทราบนะครับ

ข้อแรกก็คือว่า มีความเป็นห่วงเป็นใยกัน หลังจากที่มี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนี้ย ว่า สถานะทาง การเงิน การคลัง ของประเทศ มีปัญหาหรือไม่ นะครับ

เพื่อไม่ให้เกิด ความสับสน นะครับ ผมอยากจะเรียนอย่างนี้ ครับว่า
ข้อแรก เลย การทำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาล ได้คำนวนถึงความเป็นจริง เรื่องของ การจัดเก็บภาษี ในเรื่องของ งบประมาณ ต่างๆ ไว้ เรียบร้อยแล้วนะครับ

เพราะฉะนั้น การกำหนด วงเงินต่างๆ ในการทำ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การจัดงบประมาณ เพิ่มเติม หรือว่า จะเป็น ในเรื่อง ของ การใช้มาตรการ ทางภาษี หักลดหย่อน หรือ ยกเว้นอะไรต่างๆ ก็จะมีการคำนวณว่า จะไม่ทำให้ การขาดดุล งบประมาณ นะครับ หรือ การที่จะต้อง กู้เงินภายในประเทศ หรือ ในเรื่องของ หนี้สาธารณะ เกินกว่าเกณฑ์ ที่มีการกำหนดเอาไว้ นะครับ ก็ขอ ยืนยันว่า ทุกอย่าง อยู่ในกรอบ นี้

แต่แน่นอนครับ ก็ขอถือโอกาส เรียนกับพี่น้อง ประชาชน นะครับว่า ในวันที่ ผมเข้ามานะครับ การจัดเก็บภาษี มันต่ำกว่าเป้าหมาย นะครับ ซึ่งเขาตั้งเอาไว้ ก่อนหน้านี้ ประมาณเกือบ 1 แสนล้านบาท


นอกจากนี้ การใช้ งบประมาณ หรือ ที่เราเรียกว่าเป็น งบกลาง งบสำรองฉุกเฉิน ต่างๆ ได้มีข้อผูดมัดไปใน 2 ใน 3 ของ งบประมาณ ที่ตั้งไว้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น การใช้จ่ายต่างๆ จึงจะต้อง มีความระมัดระวัง นะครับ มีความละเอียด รอบคอบ นะครับ

แต่ว่านั่นคือ เหตุผลว่า ทำไมเราถึงได้ วางมาตรการ ในการกำหนด งบประมาณกลางปี ในลักษณะซึ่งให้เกิดความ มั่นใจว่า มีการใช้จ่ายเบิกจ่าย ได้เร็วนะครับ และ ก็มุ่งไปสู่ คนทุกกลุ่ม ที่เดือนร้อน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร คนว่างงาน ผู้ใช้แรงงาน ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ เด็กนักเรียน ผู้ปกครอง นะครับ และ ก็ทุกโครงการ ก็เรียนให้ทราบ ครับว่า ผมติดตาม อยู่ตลอดเวลา นะครับ ก็ยังเดินไป ตามเป้าหมาย นะครับ

พูดง่ายๆ ก็คือว่า ประมาณเดือน มีนาคม เมษายน เป็นต้นไป เริ่มต้น ได้แน่นอน นะครับ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็น ความคืบหน้า ในแง่นั้น

ต่อไป ขอเรียนอย่างนี้ ครับว่า คณะรัฐมนตรี ได้มีมติ ให้ทาง กระทรวงการคลัง ไปเริ่มต้น ในการการกำหนด กรอบเจรจา ทาบทาม เรื่องของ เงินกู้ต่างประเทศ

มีพี่น้องประชาชน เป็นจำนวนมาก ก็เป็นห่วงว่า ที่ต้องไป กู้เงินต่างประเทศ เป็นเพราะว่า เราไม่มีเงิน หรือ เงินหมด หรือ อย่างไร นะครับ


ขอเรียนว่า ไม่ใช่ครับ เงินสำรอง ระหว่างประเทศ ของเรา มีเยอะมาก คิดเป็นสัดส่วน ของหนี้ต่างประเทศ ที่เรามี คิดเทียบกับสัดส่วน ที่เราต้องใช้ เงินตราต่างประเทศ ที่เราต้องซื้อ สินค้าต่างๆ เข้ามา อยู่ในเกณฑ์ ที่ถือว่า มั่นคงมาก ๆ เลยนะครับ

เพียงแต่ว่า ตามกฎหมาย ของเรา เงินสำรอง ระหว่างประเทศ ของเรา ต้องเก็บเอาไว้นะครับ ไม่ใช่ว่า พอเรามีเยอะ แล้วเอาออกมาใช้ได้ นะครับ

เพราะฉะนั้น การกู้เงิน ที่จะทำ ไม่ได้เกี่ยวกับว่า มาเสริม ในเรื่องของ เงินสำรองระหว่างประเทศ นะครับ แต่จะเป็น การกู้เงินมา เพื่อการพัฒนา และ ก็ การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเติม นะครับ ในช่วงที่ เราไม่สามารถ ที่จะหาเงิน ในส่วนอื่น มาได้


เพราะ อย่างที่ ผมได้บอกกับ พี่น้องประชาชนไป เมื่อสักครู่ นะครับว่า การกู้เงินในประเทศ ก็ดี อะไรก็ดี มันจะมี เพดานของมัน อยู่นะครับ ผมได้ย้ำ กับ กระทรวงการคลัง ครับ ว่า

กระบวนการ ที่จะไปเริ่มต้น ทำกรอบอะไรต่างๆนั้น นะครับ ก็ขอให้ไปทาบทาม ซึ่งปัจจุบัน ก็มีการพูดคุยกับ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ ของ ประเทศญี่ปุ่น หรือ ไจก้านะครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ครับ ที่ให้ไปเจรจา เหมือนจะเอาเงิน ใส่กระเป๋า ไว้ก่อน ยังไม่ได้กู้จริง นะครับ แต่ว่า เปิดช่องทางเอาไว้ เหตุผลที่ต้องทำ อย่างนี้ ก็คือว่า เราไม่ทราบจริงๆ ครับว่า

เศรษฐกิจในช่วง ไตรมาส 2 ครึ่งปีหลัง จะมีความผันผวน ไปในทางใด อีกนะครับ เพราะว่า ข่าวในต่างประเทศ หลายฝ่าย ก็ยังวิตกกังวลอยู่ ทีนี้หาก สถานการณ์ มันไม่ดีนะครับ และ มาตรการ ที่ รัฐบาล ได้ดำเนินการไปแล้ว มันไม่เพียงพอ เราถึงจะไปใช้ ช่องทาง หรือ วงเงิน ตรงนี้ แต่ ถ้าเรา ไม่มีความจำเป็น ก็จะไม่ใช้ครับ

เพราะว่า ผมเองไม่มีความต้องการ กู้หนี้ยืมสิน จากต่างประเทศ โดยไม่จำเป็น นะครับ อันนี้ ก็อยากถือโอกาส ทำความเข้าใจ

เช่นเดียวกันครับ มีการพูดถึงว่า เงินคงคลัง มีปัญหาหรือไม่ อยากจะเรียนอย่างนี้ ครับว่า ในระบบ ที่เราใช้ในปัจจุบัน หลักของ การบริหาร เงินคงคลัง ก็คือว่า

เรามีเงินเพียงพอ ที่จะใช้จ่าย นะครับ ตามความจำเป็น นะครับ คือ มีรายจ่าย ตามรายการต่างๆ ตามงบประมาณ ที่ใช้จ่ายออกไป ต้องมีเงิน อยู่นะครับ

แต่ว่า ขณะเดียวกัน เราก็จะไม่บริหาร ให้เกิด การสะสมเงินตรงนี้ มากเกิน ความจำเป็น ครับ เพราะว่า จะเป็นภาระ และ เป็น ต้นทุน กับ รัฐบาล เอง นะครับ ก็ขอยืนยัน ครับว่า ตรวจสอบ กับทาง กระทรวงการคลัง อยู่ตลอดเวลา

ในขณะนี้ ไม่ได้มีปัญหา นะครับ ในเรื่องของ การบริหารจัดการ เรื่องเงินคงคลัง เพราะว่า ตัวเลขในที่สุด อย่างที่เรียนแล้ว เราได้ดู อย่างรอบคอบ และ ก็คาดว่า ภายในอีก 2 สัปดาห์ นะครับ เราก็จะกำหนด ตัวเลข วงเงิน เรื่องของ งบประมาณ รายจ่าย ประจำปี งบประมาณปี 2553 ได้ นะครับ อันนี้ก็คือ ส่วนแรก ของเศรษฐกิจ นะครับ

ส่วนที่ 2
ก็คือว่า เราได้มี การทำงานครับ ในการที่จะดูปัญหา ที่ยังค้างอยู่ ในระบบของเรา 2 – 3 เรื่อง นะครับ ซึ่งขณะนี้ เนี้ย ก็จะให้มีการสรุป เข้ามา ในการประชุม คณะรัฐมนตรี วันอังคารนี้นะครับ

เรื่องแรก
ก็คือว่า ปัญหาทางด้าน การเงิน นโยบายการเงิน นั้น ก็คือว่า ยังมีธุรกิจ ยังมี พี่น้องประชาชน ที่บ่นมา ในเรื่อง ของ ปัญหาการได้สินเชื่อ การกู้ยืม จาก ระบบธนาคาร นะครับ แนวเนี้ย เราได้อนุมัติให้ กระทรวงการคลัง ไปดำเนินการแล้ว ก็คือว่า ปัญหาขณะนี้ ไม่ใช่ ไม่มีเงินในระบบ ปัญหา ไม่ใช่ ดอกเบี้ยแพง ปัญหา คือว่าไม่มีการปล่อยกู้ ซึ่งเกี่ยวกับ เรื่องของ ความเสี่ยง นะครับ

จะขอให้ กระทรวงการคลัง ได้รับรายงาน ไปทำเรื่อง ค้ำประกันสินเชื่อ มาโดยเร็วที่สุด และ ในช่วงกลางสัปดาห์ เช่นเดียวกัน นะครับ ได้มีโอกาส ได้พุดคุย กับ ท่านผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย นะครับ ก็ทาง ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็กำลังดำเนินมาตรการ ต่างๆ นะครับ ดูแลในเรื่อง การบริหารกฎระเบียบ ต่างๆ ให้เอื้อต่อ การปล่อยสินเชื่อ ให้มากที่สุด นะครับ

มีพี่น้องประชาชน บางส่วน เขียนบ่นเข้ามา เรื่องปัญหาการติด สิ่งที่เรียกว่า เครดิตบูโร นะครับ พูดง่ายๆ ติดบัญชีดำ นะครับ ว่าเคย ติดหนี้ เอาไว้ ก็เลยทำให้ ไม่สามารถกู้เงินอื่นมาได้ อันนี้ ก็ขอให้ สรุปรายงานมา เช่นเดียวกัน นะครับ ผมได้สั่งการไป เมื่อวันพุธ ที่ผ่านมา นะครับ นั้นก้เป้น เรื่องหนึ่ง

เรื่องที่ 2
ก็คือว่า ในส่วนของ การที่เราจะมองไปข้างหน้า เนี้ยนะครับ ผมทราบดี ครับ

มีเสียงถามว่า เอะ รัฐบาลนี้ มีความสนใจ เรื่องการส่งออก เรื่องการท่องเที่ยว เรื่องการหารายได้ เข้าประเทศ เรื่องการลงทุน มากน้อยแค่ไหน


สนใจมากครับ เพราะว่าอันนี้คือ ขั้นตอนต่อไป หลังจากที่เราใช้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รักษากำลังซื้อ ในประเทศ เอาไว้แล้วนะครับ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำเนี้ย ก็คือว่า ในส่วนของ การส่งออก จะมีการให้ไปสรุป มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของประเทศอื่น ครับ เพราะว่า ขณะนี้ อเมริกา ก็ดี ยุโรป ก็ดี ญี่ปุ่น ก็ดี จีน ก็ดี ล้วนแล้วแต่มี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งสิ้นนะครับ เงินเหล่านี้ จะเป็นเงินใหม่ ที่เข้าสู่ ระบบ เศรษฐกิจโลก

ที่ให้ หน่วยงานต่างๆ ไปรวบรวมว่า รายละเอียด มาตรการ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ของ แต่ละประเทศ เป็นอย่างไร ก็เพราะว่า จะทำให้เรา สามารถ เจาะได้ ตรงจุด นะครับ เช่น

สมมุติว่าใน อเมริกา เรารู้ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ เนี้ย มุ่งไปที่เรื่องของ ภาคส่วนไหน ภาคการผลิต ไหน หรือ กลุ่มประชาชน กลุ่มไหน เราจะได้ ดูว่า

โอกาส ที่เราจะไปขาย สินค้าของคนกลุ่มนั้น มีมากน้อยแค่ไหน อย่างไร นะครับ ก็จะเป็น การปรับยุทธศาสตร์ ในเรื่องของ การส่งออก การดึง การลงทุน หรือ การท่องเที่ยว ให้สอดคล้องกับ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเงินใหม่เข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจโลก ของประเทศ ต่างๆนะครับ

เมื่อได้ทำตรงนี้แล้ว ก็เรียนให้ทราบ นะครับว่า เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไป ประเทศญี่ปุ่น การเดินทาง ครั้งนี้ นอกจาก ในส่วน ของ ผม ของท่าน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ นะครับ หรือในส่วนของ สำนักนายก แล้วเนี้ย ยังเป็นการไปทำงานร่วมกัน ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นะครับ

ญี่ปุ่น เป็นคู่ค้า เป็นนักลงทุน อันดับหนึ่ง ของเรา นะครับ และ ก็ขณะเดียวกันเนี้ย ก็มี ชาวญี่ปุ่น เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เนี้ย ปีหนึ่ง ไม่น้อย กว่า 1 ล้านคน นะครับ ความสัมพันธ์ เป็นไป ด้วยความราบรื่น มาตลอด แล้ว ก็หลังจากเรา มีข้อตกลง หุ้นส่วนกับญี่ปุ่น แม้ในช่วง ที่ปีที่ผ่านมา นะครับ ซึ่งมีปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้ง ทางเศรษฐกิจ ทั้ง ทางการเมือง ก็ยังปรากฎว่า การค้าขายระหว่างกัน เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 20 นะครับ

เพราะฉะนั้น ตรงนี้เป็นกลุ่ม หรือ เป็นมิตรประเทศ ที่มีความสำคัญ ทางยุทธศาสตร์ ทางเศรษฐกิจ ของเรา มาก ผมเดินทางไปครับ ก็อยู่ที่นั้น ทำงานได้ ประมาณวันครึ่ง หรือ เกือบสองวัน นะครับ มีกิจกรรมมากมาย น่ายินดีที่สุด

ก็คือว่า ในส่วนของ ญี่ปุ่น เองเนี้ย ให้ความสนใจกับเรามาก ครับ ประการแรกเลย ผมไปเริ่มต้น ด้วย การเปิดสัมมนา การลงทุน พุดถึง การเปลี่ยนแปลง ในช่วงเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา ว่า

ประเทศไทย ได้แก้ปัญหาต่างๆ ไปอย่างไร ต่อหน้า นักลงทุนชาวญี่ปุ่น นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ซึ่งเดิม งานของเขา เปิดให้ลงทะเบียน ไว้ 600 – 700 คน นะครับ ปรากฎว่า ถึงเวลาจริงๆ มีคนมาร่วม เกือบ 1 พันคน นะครับ และก็ให้ ความสนใจมาก กับ โอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีได้เสนอไป ก็คือว่า มันมีทั้งเรื่อง การค้าการลงทุน ในสองส่วน ที่เราอยากจะเดินหน้าอย่างมาก นะครับ

เรื่องแรก ก็คือว่า ญี่ปุ่น มีความต้องการ ในเรื่องของอาหาร ที่มีคุณภาพ นะครับ เขาจะต้องเป็น คนที่ซื้ออาหาร จากภายนอก และ เขามีความ เข้มงวด กวดขัน เรื่องของ คุณภาพอาหาร มาก ผมก็ยืนยันไปครับว่า จริงๆแล้ว ประเทศไทย เนี้ย เรามีความพร้อม อย่างมาก ในการผลิตอาหาร นะครับ

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราจะต้องทำ ก็คือว่า ทำอย่างไร อาหารของเรา จะสามารถ มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน อย่างที่เขาต้องการ ซึ่งตรงนี้ ต้องเรียนว่า มันมีตัวอย่าง มีเกษตรกร ที่ปลูกกล้วย อยู่ที่เพชรบุรี นะครับ ก็สามารถ ที่จะทำระบบให้ ญี่ปุ่นมีความมั่นใจ นะครับว่า กล้วยนี้มาจาก ที่ไหน อย่างไร ปลูกด้วย วิธีการอย่างไร ความปลอดภัย ได้มาตรฐาน อย่างไร ก็สามารถ ส่งออก ไปได้นะครับ

เพราะฉะนั้น กระทรวงพาณิชย์ ก็ไปทำตรงนี้ครับ ก็คือว่า จะไปดู จุดสินค้า ที่เป็นที่ต้องการของ ญี่ปุ่น นะครับ แล้วเราก็จะได้ปรับ แนวทาง การส่งออก ของเรา

ต้องเรียนว่า ที่ผ่านมา เราทำงาน เรานึกว่า เรามีสินค้าอะไร เราก็อยากไป บอกเขา ไปขายเขา นะคัรบ ซึ่งจะมี ปัญหามาก ซึ่งติดขัดในเรื่อง ของ กฎระเบียบ คุณภาพมาตรฐาน แต่ถ้าเราเอา ความต้องการเขา เป็นตัวตั้งนะครับ ผมมั่นใจว่า ขณะนี้ เราก็จะสามารถ ขยายโอกาส ต่างๆ โดยเฉพาะ ทางด้านการเกษตร ในเรื่องของอาหาร ได้

ส่วนที่ 2 ในแง่ของ การลงทุนครับ ญี่ปุ่นกับเรา มีนโยบายสอดคล้องกัน ก็คือว่า ต้องการ แก้ปัญหา พลังงาน นะครับ จะเป็น พลังงาน ที่สะอาด หรือ พลังงานทดแทน เป็นสิ่งที่ สองประเทศ ต้องการส่งเสริม

เราเป็นจุดสำคัญ ที่เป็นฐานของการผลิต เรื่องของ รถยนต์ เรื่องของ อุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะฉะนั้น แนวทาง ที่จะมีการขยายต่อไป ก็คือว่า จะให้ อุตสาหกรรมยานยนต์ ของญี่ปุ่น เนี้ยนะครับ มาดูลู่ทาง ความเป็นไปได้ ในการผลิต เพื่อตอบสนอง ในเรื่องของ รถยนต์ ที่ใช้ พลังงานทดแทน นะครับ จะเป็นพลังงาน ที่เราสนับสนุนอยู่ ทั้งเรื่อง แก๊สโซฮอล์ ทั้งเรื่อง ไบโอดีเซล นะครับ จะเป็นยกระบบ ที่ใช้ไฟฟ้า หรือใช้ พลังงานผสม ร่วมกัน ทั้งหลาย เนี้ย จะเป็นโอกาสสำคัญ นะครับ

ผมเรียนว่า การตอบรับดีครับ


ก่อนผม จะขึ้นเครื่องบิน เนี้ย ท่านเอกอัคราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ได้ บอกว่า จากการที่ ผมได้ไป กล่าวในเรื่องเหล่านี้ ขณะนี้ มีคณะธุรกิจ ของญี่ปุ่น ที่ขอติดต่อ ที่จะเข้ามาภายในประเทศไทย ภายใน 1 – 2 เดือน ข้างหน้า แล้ว อย่างน้อย 2 คณะ นะครับ ในเรื่องที่ผมได้กล่าวไป ดังนั้น ก็เป็นการตอบรับ ที่ดี


ในส่วนของ การท่องเที่ยว เองครับ ขณะนี้ ค่าเงินเยนแข็ง ปรากฎว่า ชาวญี่ปุ่น ก็สามารถไปเที่ยวใน ที่ต่างๆได้ ในราคาค่อนข้างถูก สำหรับเค้า นะครับ ซึ่งก็รวมถึง ประเทศไทย ด้วยนะครับ และก็ การท่องเที่ยว ก็ได้เพิ่มมากใน หลายตลาด สิ่งที่ ชาวญี่ปุ่นต้องการ ก็คือ ความมั่นใจว่า เหตุการณ์ต่างๆ ในบ้านเมืองเรา สงบลงแล้ว นะครับ

ซึ่งผมก็เล่าให้ฟังว่า ในเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา รัฐบาล มีนโยบาย สร้างความปองดอง สมานฉันท์ รัฐบาล กำลัง จะเป็น เจ้าภาพ ในการที่จะจัด ประชุมสุดยอดอาเซียน รัฐบาล ได้มีมาตรการเพิ่มเติม เรื่องของการดูแลความปลอดภัย ของสนามบิน อย่างไร นะครับ

เพราฉะนั้น ตรงนี้จะเป็นจุดที่ทำให้ ญี่ปุ่น มีความมั่นใจ มากขึ้น แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ผมก็ต้องขอ ความร่วมมือ จาก พี่น้องประชาชน ทุกกลุ่มครับ ว่าตรงนี้ ในเมื่อ คู่ค้ามิตรประเทศ ที่สำคัญของเรา เขาอยากจะกลับเข้ามา ก็อยากจะมา ขยาย หลายสิ่งหลายอย่าง อยู่แล้ว เรามาช่วยกัน รักษาบรรยากาศ ของบ้านเมือง นะครับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด กับ คนไทยเอง

ในการที่จะ ต้อนรับ นักท่องเที่ยว อย่างนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น นะครับ ผมก็ได้ยืนยัน ไปครับว่า เวลาเขา จัดอันดับ ในขณะนี้ เขาบอกว่า แหล่งท่องเที่ยว ที่มีความคุ้มค่าที่สุด ก็คือ ประเทศไทย นะครับ

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็คือ สิ่งที่ในส่วนของ ภาคเอกชน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ แล้ว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไปดำเนินการกัน และ ก็ได้รับการตอบรับ อย่างดี

ในส่วนของการหารือกับ นายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น ก็มีการตกลง ที่จะขยายความร่วมมือ ในหลายๆด้าน นะครับ ถ้าพูดถึง ระดับทวิภาคี ก็ได้พูดถึง ปัญหาอุปสรรค การค้าการขาย การลงทุน นะครับ

ซึ่งก็จะมีการคลี่คลายกัน ทั้งสองฝ่าย นะครับ คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเอง ก็เพิ่งกำหนดแนวทาง การแก้ปัญหาค้างคา ของนักลงทุน ผมก็ได้ไปเล่าให้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟังนะครับ

ขณะเดียวกันก็มี โครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสนใจ ที่จะมีการพัฒนา อยู่นะครับ และ ญี่ปุ่นเอง ก็มีการสนับสนุน เรื่องของเงินกู้ สำหรับ โครงสร้างพื้นฐาน

ระหว่าง ที่ไปเยือนนี้ ทางญี่ปุ่น ได้อนุมัติครับ ท่านนายกรัฐมนตรี ได้บอกกับผมเองว่า ท่านอนุมัติ เรื่องของเงินกู้ สำหรับ การก่อสร้างรถไฟฟ้า สายสีแดง นะครับ คือ สายบางซื่อ – รังสิต นะครับ นอกเหนือจาก สายสีม่วง ที่ได้อนุมัติมา ก่อนหน้านี้แล้ว ก็อยู่ในช่วงของ การประมูล

เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็น ข่าวดี ครับว่า รถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งก่อนหน้านี้ รอเรื่องของ เงินกู้ อยู่ บัดนี้ได้รับการอนุมัติจาก ทางญี่ปุ่น เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะ เดินหน้าต่อไป มีความร่วมมือ อีกหลายด้าน เลยครับที่ ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ ในด้านของ การเป็นหุ้นส่วนประเทศไทย นะครับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือในเรื่องของ การพัฒนาในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง นะครับ ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องของ โครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องของ การพัฒนาคน ซึ่งญี่ปุ่น ได้ให้ความสำคัญ กับการทึ่ ไทย จะเข้าไปมีส่วนร่วม ค่อนข้างมาก นะครับ และ ก็จังหวะเวลา ที่มี วิกฤตทางการเงินทั่วโลก ท่านนายกฯ ญี่ปุ่น ก็ได้บอกกับทางผม นะครับว่า

เราต้องช่วงกันทำ เอเซีย มีบทบาทนำ ในการฟื้นเศรษฐกิจโลก ครั้งนี้นะครับ

ญี่ปุ่นเอง มีการประกาศ ที่จะให้ทั้ง เงินช่วยเหลือ ทั้งเงินกู้ ทั้งเงิน ที่ไปสมทบ กับ IMF หรือ เงินกองทุนระหว่างประเทศ ในการที่จะช่วย แก้ปัญหา วิกฤต นะครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ นะครับ ก็อยากให้ ประเทศไทย มีบทบาท

เพราะฉะนั้น ญี่ปุ่น เองก็มองไปถึง การประชุมเรื่องของอาเซียน นะครับ อาเซียน +3 นะครับ หรือ การประชุมของ กลุ่มเศรษฐกิจ ใน เอเชียตะวันออก นะครับ และ ต้องการให้ ไทย เนี้ย มีบทบาทควบคู่กับ ญี่ปุ่น นะครับ ในการที่จะดูแล ในเรื่องของ สภาวะเศรษฐกิจของโลก ในขณะนี้ นะครับ นอกเหนือจาก การมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายในประเทศ ของแต่ละประเทศ แล้ว

เพราะฉะนั้น การเดินทางไป ในครั้งนี้ ก็จะเป็นแนวทาง การที่ ผมจะได้ทำนะครับ ต่อไป ประเทศที่จะไปทำ ในลักษณะนี้ ก็คือ ประเทศจีน นะครับ ซึ่งก็เป็น คู่ค้าสำคัญ ของเรา เช่นเดียวกัน นะครับ

นี่คือ รูปธรรม ครับ ของ การส่งออก การท่องเที่ยว ในเรื่องของ การลงทุน นะครับ ซึ่งก่อนหน้า ที่มี คนกังวลว่า เราไม่ได้จัด งบประมาณกลางปี ในลักษณะ ของ กระทรวง เหล่านี้ ผมเรียนนะครับว่า

วิธีที่เราดำเนินการใน ขณะนี้ จะเป็นวิธีการที่เข้าไปถึง ตัวปัญหาโดยตรง นะครับ โดยที่ไม่ได้เป็น โครงการ ที่ต้องใช้เงิน เป็นจำนวนมาก ในภาวะ ซึ่ง ทรัพยากร มีจำกัด เงินของเรา ขณะนี้ ต้องทุ่มไปที่ การเพิ่มกำลังซื้อ ให้กับ พี่น้องประชาชน นะครับ

ก่อนที่จะพัก ในช่วงนี้ มีเรื่องสุดท้าย ที่ผมจะถือโอกาสเรียน เพราะว่า กลับมาแล้ว ก็เห็นหัวข่าว ก็รู้สึกเป็นห่วงก็คือ เรื่องของ นักเรียน ที่กำลังสอบ ของ A-net

ที่จริงแล้ว ก่อนจัดรายการ นี้นะครับ เมื่อ สองสัปดาห์ที่แล้ว ที่ กรมประชาสัมพันธ์ ที่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 นี้ครับ มี ผู้ปกครองมาร้องเรียน ผม นะครับ และ ผมได้รับเรื่อง ในวันนั้น นะครับ และ ก็ส่งเรื่องให้กับ กระทรวงศึกษา ซึ่ง กระทรวงศึกษา ก็ได้รายงานผม มาเป็นระยะๆ นะครับว่า ปรากฎว่า

ทุกปีนะครับ จะมีปัญหา กับ เด็กที่ไม่สามารถ ที่จะเข้าไปสอบ A-net ได้ด้วย ผลของการ ไม่สามารถดำเนินการ ตามระเบียบ ขั้นตอน ต่างๆ นะครับ เรื่องการชำระเงิน หรือ เรื่องอะไร มีทุกปี นะครับ ที่จริง ปีนี้ ลดมาจาก ปีก่อนหน้านี้ ปีก่อนโน้น 5 หมื่น ปีที่แล้ว ประมาณ 2.7 หมื่น ปีนี้ ประมาณ 2 หมื่น นะครับ

หลักง่ายๆ เลยครับ ขณะนี้ ก็คือว่า เปิดโอกาสให้มี การเข้ามาร้องเรียน นะครับ เข้าใจว่า โรงเรียนประจำจังหวัดต่างๆ กำลัง จะเป็น ศูนย์รับ เรื่องร้องเรียน ทั้งหมด

เราจะมาแยกแยะครับ เพราะว่า ใน 2 หมื่นนี้ จะมีจำนวนมากที่ สละสิทธิ์ เพราะว่า ชื่อ ซ้ำซ้อน หรือว่า จะไปสอบตรง เข้าได้แล้ว ก็จะไม่ประสงค์ ก็จะลดไป จำนวนหนึ่ง อีกจำนวนหนึ่ง เราจะดูครับว่า

ถ้าปัญหาเกิดจากทางฝ่ายของ กระทรวงศึกษาธิการ เอง เช่น เว็บไซต์ ไม่ทำงาน หรือ เป็นความบกพร่อง ในการบริหารจัดการ อันนี้ ต้องคืนสิทธิ์ ให้กับ นักเรียน เหล่านี้แน่นอน นะครับ

ส่วนสุดท้าย ถ้าสมมุติว่า ไม่ได้เกิดจาก ความผิดของ กระทรวง ก็ได้มอบเป็น นโยบาย ไปแล้วว่า ช่วยดูว่า จะช่วงเหลือ ได้อย่างไรนะครับ แต่ว่า ผมอยากจะเรียน ว่า รัฐบาล หรือ ท่านรัฐมนตรี เอง จะไปสั่งทันทีว่า ต้องให้สิทธิ์ คืนสิทธิ์ คงจะไม่ได้นะครับ เพราะว่า ที่ผ่านมา ก็ต้องเรียน นะครับว่า ในส่วนของ ผู้บริหารของ มหาวิทยาลัย เอง ก็มีความเห็นว่า ต้องให้ทุกอย่าง เป็นไปตามระเบียบ นะครับ

นอกจากนั้น เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเด็ก อีกเกือบ 2 แสนคน ที่สามารถดำเนินการ ตามขั้นตอน ตามระเบียบ ได้ทุกอย่าง นะครับ ก็ขอเรียนว่า จุดยืน ของรัฐบาล ก็คือว่า ถ้าเป็นความผิด ของทางฝ่ายกระทรวง เราคืนสิทธิ์ให้ แน่นอนนะครับ

ถ้ามีปัญหาอื่น จะพยายามช่วยเหลือ อย่างเต็มที่ และให้ความเป็นธรรม กับ ทุกฝ่าย นะครับ อันนี้ ก็จะได้เกิด ความสบายใจ ในระดับหนึ่ง นะครับ และก็จะ เร่งรัด ให้เรื่องนี้มี ข้อยุติ เหมือนกับ เรื่องอื่นๆ ที่ ค้างอยู่ เป็นมติของ คณะรัฐมนตรี ไปแล้วนะครับ

เช่นเรื่องการปล่อย เงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา แม้กระทั้ง มาตรการ ทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีมติ ไปแล้ว แต่ว่า หน่วยงานยังไม่ได้ สามารถ ดำเนินการ ได้ ผม ก็จะเร่งรัดใน วันอังคาร นี้นะครับ

ทั้งหมดเป็น ความก้าวหน้าของ การทำงานของ รัฐบาล นะครับ ซึ่งก็ยังมุ่งมั่นที่จะ เร่งแก้ปัญหาในทุกๆด้าน นะครับ ผมเรียนว่า สำหรับเวลา ที่เหลือ ของรายการนี้ ก็คงจะพิเศษ สักนิดหนึ่งครับ เพราะว่า พรุ่งนี้จะเป็น วันมาฆบูชา ซึ่งเป็น วันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา นะครับ และ ก็ที่สำคัญ ก็คือว่า

ในช่วงสัปดาห์ ที่ผ่านมานี้ ก็มีข่าวคราวตลอดเวลา ถึงปัญหาในเรื่องของ คุณธรรม จริยธรรม โดยเฉพาะในหมู่ของ เยาวชน นะครับ ในหมู่วัยรุ่น นะครับ และก็ ในสังคม ในภาพรวม

รัฐบาลเอง ก็มีนโยบาย ที่สำคัญครับ ในเรื่องที่จะสร้าง สังคมคุณธรรม วันนี้ ทางรายการ จึงได้นิมนต์ ท่าน ว.วชิรเมธี นะครับ ซึ่งเป็นพระ ที่ได้มี บทบาทสำคัญ ในการที่จะดึงให้ คนรุ่นใหม่ นะครับ และ ประชาชนทั่วไป เนี้ย ได้เข้าใจ ในเรื่องของ คุณธรรม จริยธรรม และ พุทธศาสนา นะครับ ก็จะเป็นโอกาสดี ที่จะได้มีการสนทนาโดยมี พิธีกรรับเชิญ คือ คุณ แทนคุณ จิตอิสระ มาพบกัน ครับ ในช่วงต่อไป ครับ

เชื่�มั่นประเทศไทย กับ นายกฯ �ภิสิทธิ์ วันที่ 8 ก.พ. 52

เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์ วันที่ 8 ก.พ. 52


ช่วงที่ 2


พิธีกร (แทนคุณ) : สวัสดีครับ ท่านผู้ชมครับ ผม แทนคุณ จิตอิสระ ครับ นี่คือ รายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายก ฯ อภิสิทธิ์ นะครับ เมื่อสักครู่นี้ ท่านนายก ฯ ได้ก้มลงกราบ ท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี นะครับ หรือว่า ท่าน ว.วชิรเมธี นะครับ ผู้อำนวยการสถาบัน วิมุตติยาลัย นะครับ สถาบัน เพื่อการเผยแพร่ พระพุทธศาสนา เพื่อสันติภาพโลก นะครับ นมัสการครับ

ว.วชิรเมธี : เจริญพร

พิธีกร (แทนคุณ) : สวัสดีท่าน นายกฯ นะครับ ครับ ผู้ชมครับ ในสัปดาห์ ที่ผ่านมานั้นนะครับ รวมทั้งช่วงที่ผ่านมานั้น มีปัญหา ที่เกิดขึ้น ในกลุ่มของ เด็กเยาวชน เป็นปัญหา ที่ว่าด้วย เรื่องของ การขาดคุณธรรม จริยธรรม ทำให้สะท้อน ปัญหาสังคม ด้วยเช่นเดียวกัน ในช่วงนี้ ก็เป็น สัปดาห์ ส่งเสริม พระพุทธศาสนา วันมาฆบูชา นะครับ ก่อนอื่น อยากกราบเรียนถาม พระคุณเจ้า ว่า

ความสำคัญของ การนำธรรมมะ ในวันมาฆบูชา ซึ่งเปรียบเสมือน วันที่พระพุทธเจ้า มอบ หัวใจ ของ พระพุทธศาสนา ให้กับ มนุษยชาติ นั้นมี ความสำคัญ อย่างไร และ จะสามารถ ประยุกต์ หลักธรรมะ เหล่านั้นเนี่ย มาพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม ความดีงาม ของเด็กเยาวชน ก็ดี ประชาชน ทั่วไป อย่างไรครับ

ว.วชิรเมธี : เจริญพร ท่านนายกฯ เจิรญพร คุณโยม แทนคุณ วันมาฆบูชา นี้เป็น วันสำคัญ มาก คือวันนี้ถือว่าเป็น วันที่ พระพุทธเจ้า หลังจาก เผยแพร่ พระพุทธศานา ไปได้ สัก 9 เดือน ทรงปฐมนิเทศ เป็นครั้งแรก ในการ ปฐมนิเทศ นี้ท่านได้พูดถึง สาระสำคัญ ของพุทธศาสนา ทั้งหมด เลยนะ

1. พูดถึงอุดมการณ์ พุทธศาสนา นี้เป้าหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน แล้วก็หลักการ ที่จะไปถึง เป้าหมายสูงสุด คือ ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำความดี ให้ถึงพร้อม ทำใจให้ผ่องใส หรือ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง แล้วก็ วิธีการ ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ท่านบอกให้ใช้ สันติวิธี นี่คือ สาระสำคัญ ของ วันมาฆบูชา

พิธีกร (แทนคุณ) : ครับ ท่านนายก ฯ ล่ะครับ สาเหตุหลักๆ ที่ท่านนายก ฯ วิเคราะห์ แล้วว่า พบว่า เหตุที่เป็นต้นเหตุ ทำให้เด็ก ๆ เยาวชน ของเรา หรือว่า คนในสังคม นั้นละเลย เรื่อง คุณธรรม จริยธรรม หรือว่าทำให้เรื่อง คุณธรรม จริยธรรม นั้นไม่มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาชีวิตจิตใจ นั้น คืออะไร ครับ

นายกรัฐมนตรี : ผมคิดว่าเรา คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า โลก และ ก็สังคม เนี่ย มันเปลี่ยนแปลง และก็ ช่วงหลังเนี่ย มันเปลี่ยนแปลง เร็วมาก นี้ สิ่งที่มันก็อยู่ ในตัวเราทุกคนเนี่ย เราก็อยากมีความสุข ในลักษณะ ของการ มีความสะดวกสบาย นะครับ โดยเฉพาะเวลา การพัฒนา เนี้ยมันก็เป็น การพัฒนา ในเรื่องของวัตถุ ในเรื่องของ สิ่งอำนวยความสะดวก ปัญหาก็มีอยู่ว่า

เอะแล้ว จิตใจ เราสามารถที่จะ พัฒนา รับกับ การเปลี่ยนแปลง เหล่านี้ ได้หรือไหม นะครับ เพราะฉะนั้น มันก็ไปเป็นเรื่องของ ค่านิยม นะครับ ค่านิยมเนี้ย บางช่วง บางยุค เนี้ย เราอาจจะมีความรู้สึก ว่า เอะ เราอยาก เราอยากได้ เราอยาก ประสบความสำเร็จ เร็วๆ และ เราก็เริ่มลืมไปว่า วิธีการ ที่จะได้ความสำเร็จเนี่ย มันควรจะเป็นอย่างไร นะครับ แล้วเราก็ลืมไปว่า การได้ความสำเร็จมา โดยการเบียดเบียนผู้อื่น เนี่ย

ในที่สุด ถ้าทุกคน เบียดเบียน กันเอง เนี่ย นะครับ ทุกคน ก็แย่ลง และนี่คือ ปัญหา ก็ผมคิดว่าพอใน ยุคนี้เนี่ย มันมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามามากมาย เนี้ย บางครั้ง สิ่งที่มันเป็น เรื่องดีงาม สิ่งที่มันควรจะอยู่ในสังคม ของเราเนี่ย ก็ถูกมองข้าม นะครับ เพราะฉะนั้น เนี่ย รัฐบาล ก็มองว่า การจะแก้ปัญหา เรื่องนี้ เนี่ยอ่ะ มันคงจะต้องทำ หลายส่วน พร้อมกันไป แล้ว

ก็เป็นเรื่องของการทั้ง สร้างค่านิยม และ ก็สร้าง สภาวะแวดล้อม นะครับ ที่จะเอื้อ นะครับ อย่างที่รัฐบาล มีนโยบายบอกว่า คนไทย ต้องไม่โกง นะครับอันนี้ จะไปโฆษณา สปอต ประชาสัมพันธื บอกว่า อย่าโกงๆ

แต่ว่าถ้า รัฐบาล ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง ก็ไม่มีประโยชน์ นะครับ หรือไม่รักษากฏหมาย ในเรื่องนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ อย่างนี้เป็นต้น นะครับ แล้วก็ ในส่วน ของ เด็กและเยาวชน เอง นะครับ นโยบายสำคัญที่สุด คือ

เราบอกว่า สร้างพื้นที่ดี เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย นะครับ การเอาน้ำดีไล่น้ำเสีย ก็หมายความว่า ที่เราบอกว่า มี hi5 นะ เอาไปใช้เรื่องอะไร บริการทางเพศ หรือ อะไรต่างๆ ไปติดเกมส์ แต่จริงๆแล้ว อินเทอร์เน็ต ก็เป็น

แหล่งเรียนรู้มหาศาล มีคุณประโยชน์ แต่ว่า มีแหล่งเรียนรู้อื่น พิพิธภัณฑ์ นะครับ สวนหย่อม การเอื้อให้ ครอบครัว อยู่ด้วยกันเนี่ย สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นวิธีการ ที่เราจะพยายาม สร้างพื้นที่ ที่ดี นะครับ แต่ว่า

ในส่วนของ ศาสนาเอง ก็มีความสำคัญมาก นะครับ เพราะว่า ศาสนา พูดง่ายๆ ถ้าจะพูดว่า รัฐบาล กำลังสร้างเครื่องมือ เปิดพื้นที่ ต่างๆ เนี่ย แต่ตัวเนื้อหาสาระ นะครับ ถ้าพูดภาษา คนอังกฤษ เค้าบอก Content ที่จะใส่เข้า ไปเนี่ย ก็คือ เรื่องของหลักธรรม คำสอน หรือ ศาสนา ต่างๆ นะครับ

ที่ประชาชน เคารพนับถือ ซึ่งตรงนี้ ก็ต้องหาวิธีการ ที่จะสื่อสาร เข้าถึงกับ คนสมัยใหม่ ในยุคสมัยใหม่ได้ นะครับ ซึ่งอันนี้ ก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย นะครับ ทั้งในเรื่อง ของการผลิตสื่อ หรือทั้ง ในเรื่องกระตุ้นให้เด็กอ่านหนังสือ และ สนใจ กว้างขวาง มากขึ้น ซึ่งความจริง ในระยะหลัง ก็มีแนวโน้ม ที่ดีขึ้น ผมก็รู้จัก คนรุ่นใหม่ จำนวนมาก ที่ได้สนใจ และก็ใส่ใจ ในเรื่องของ หลักธรรม คำสอน จริยธรรม คุณธรรม มากขึ้น

พิธีกร (แทนคุณ) : ครับ ท่านผู้ชม ท่านใด ที่มีข้องสงสัย อยากจะกราบเรียน ถาม ท่านนายกฯ หรือว่า ท่าน ว.วชิรเมธี นะครับ ก็หมายเลขโทรศัพท์ 02 – 275 4225 นะครับ นับตั้งแต่ ตอนนี้เป็นต้นไป ได้ครับ กลับถาม พระคุณเจ้า ครับว่า

ทุกวันนี้เนี่ย ในเรื่องการศึกษา เป็นเรื่องสำคัญครับ เราพบว่า การศึกษาเนี้ย มักจะเน้น การแข่งขัน ทำให้คนนั้น อึดอัด คับแคบ แล้วก็เป็น ทุกข์ มากขึ้น จะมีกระบวนการ ที่จะเปิดกว้าง ให้ ทางการศึกษา ที่จะเปลี่ยน องค์ความรู้ ความคิด และก็เป็น การพัฒนา สู่จิตใจที่ดีงาม ในทาง พุทธศาสนา นี่ สอนอย่างไรครับ

ว.วชิรเมธี : การศึกษาเนี่ย เป็นหัวใจ ของพุทธศาสนา ต้องไม่ลืมด้วยว่า พุทธศาสนาแปลว่า ศาสนาผู้รู้ คำถามก็คือ ถ้าจะเป็นผู้รู้ อะไร คือเครื่องมือ ก็ต้องศึกษา แล้วทีเนี้ย ถ้าศึกษา พุทธสาสนา อกกแบบการศึกษา ไว้ยังไง พุทธเจ้าท่านบอกว่า การศึกษาที่สมบูรณ์แบบ จะต้องครอบคลุม พัฒนาการ ของคนใน 4 เรื่อง

1. พัฒนาการทางกาย คนต้องมีสุขภาพดีนะ สุขภาพกาย ต้องแข็งแรง
2. พัฒนาการ ทางสังคม ต้องอยู่ ในสังคม อย่างมีสง่าราศรี นั่นหมายความว่า ต้องเป็นคนดีที่ อยู่ในสังคม โดยที่ไม่ต้องอายใคร เวลาเดินบนถนน โดยไม่ต้องอายใคร อย่างที่ ท่านนายก ฯ บอก ต้องมีเกียรติ อยู่ในสังคม
3. พัฒนาการทางจิต นั่นหมายความว่า ระบบความคิด ระบบความเชื่อ ค่านิยมของคน จะต้อง เป็นสัมมาทิฐฐิ และ
4. สำคัญมาก พัฒนาการทางปัญญา คุณจะต้อง มีความรู้ทางโลก สำหรับการทำมาหากิน อย่างสุจริต ความรู้ทางธรรม สำหรับ การบริหารจัดการ กิเลส ซึ่ง พระอาจาร์ย เรียกว่า เป็น กิเลส Management เพิ่งเปิดคอร์ส นี้ไป

เพราะฉะนั้น นี่แหละ คือ การศึกษา แนวพุทธเนี้ย จะต้องครอบคลุม 4 เรื่องนี้

1. กาย ต้องสุขภาพแข็งแรง ซึ่งจะโยงไปถึง เรื่องเศรษฐกิจ
2. สังคม ต้องร่มเย็นเป็นสุข คนอยู่ด้วยกัน อย่างมีศักดิ์ศรี เคารพกฎหมาย มีเกียรติ
3. ค่านิยม ของสังคม ต้องถูกต้อง ต้องเป็น สัมมาทิฐฐิ แล้วก็
4. ปัญญาของคน ต้องมีเพียงพอ ที่จะครองตน ครองคน ครองงาน ถ้าเป็น นักการเมือง ก็ต้องพอ ที่จะครองประเทศได

พิธีกร (แทนคุณ) : สาธุ ครับ ถาม ท่านนายกฯ บ้างนะครับว่า มิติของการศึกษา ปัจจุบันนี้ เราเริ่มเห็นพัฒนารการ เป็นการสร้างคุณภาพ ทั้งการ เรียนฟรี และก็ การส่งเสริม ให้มีคุณธรรม จริยธรรม เข้าไปมากขึ้นด้วย ตัวท่านเอง ก็ศึกษาจากต่างประเทศด้วย ท่านเห็น ความแตกต่าง แล้วก็ พร้อมที่จะพัฒนา ไปสู่การศึกษาไทย ในมิติของการยืน มีที่อยู่ ที่ยืนที่สง่างาม บนเวทีโลก ได้อย่างไรครับ

นายกรัฐมนตรี : ส่วนของ การศึกษา เนี้ย แน่นอน ตอนนี้ คนสนใจ ก็เรื่องนโยบาย เรียนฟรี นะครับ ซึ่งผมทราบดีว่า เป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้นเอง ในระบบการศึกษา แต่ว่า มีความหมายมาก สำหรับ ประชาชน ผู้ปกครอง พ่อแม่ ผู้ปกครอง คนที่ มีรายได้น้อย นะครับ

เราก็ต้องพยายาม ทำเรื่องนื้ ให้เรียบร้อย โดยเร็วที่สุด นะครับ แต่ไม่ลืม เรื่องของคุณภาพ นะครับ แล้วก็ นโยบาย เรื่องการศึกษา นี้เนี้ย ต้องมองกว้างกว่าโรงเรียน นะครับ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำ ก็คือ
นโยบาย ทางด้านเยาวชน นะครับ
นโยบาย ทางด้านสังคม นะครับ

ที่เน้นเรื่องการเพิ่มพื้นที่ สร้างสรรค์เนี้ย จะเป็นหัวใจสำคัญ นะครับ จะเห็นว่า ทาง กระทรวงวัฒนธรรม โดยท่านรัฐมนตรี ธีระ ในปัจจุบัน ก็ให้ ความสำคัญ ในเรื่องนี้มาก ในการที่ จะเพิ่มพูนพื้นที่ ของการเรียนรู้ นะครับ ให้เป็นพื้นที่ ที่สร้างสรรค์ เออในส่วนของ ตัวหลักสูตร

ส่วนของการศึกษา ในโรงเรียนเองเนี้ย ก็กำลังมี หลายมาตรการ นะครับ โครงการ คืนครูให้นักเรียน นะครับ ที่ทำไง ให้ครูมีเวลา กับ นักเรียน มากขึ้น เนี้ย ก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่า ปัญหาใหญ่มาก ที่ผมคิดว่า ก็คงต้องใช้เวลา นะครับ

จริงๆ เมื่อกี้ ก็คุยเรื่อง เอเน็ต ปัญหาใหญ่มาก ก็คือ ตอนนี้เนี้ย การศึกษาเรา ก็ยังมุ่งไปสู่ ตรงนี้ครับ ถ้าเราเริ่มไป จาก อนุบาล ทุกคน ก็มุ่งไปสู่ว่า ทำยังไง จะเข้า มหาวิทยาลัยได้ นะครับ แล้ว

การทดสอบ ในเรื่องของ ทักษะ ความคิด เนี้ย ปัจจุบัน เราเน้นในเรื่อง ของ เนื้อหาสาระ ความรู้มาก เพราะฉะนั้น ในที่สุด ในการแข่งขัน คือ การแข่งกันเรียน แข่งกันท่อง นะครับ ก็ใช้เวลา ไปกับเรื่องเหล่านี้ เกือบทั้งหมด นะครับ

เวลาที่ เราจะมาส่งเสริม ให้เด็กเยาวชน ได้ฉุกคิด นะครับ ในเรื่องของ ทักษะทางชีวิต นะครับ ในเรื่อง คุณธรรม จริยธรรมเนี้ย ก็น้อยลง นะครับ ตรงนี้ ก็เป็นการไปปรับ ตั้งแต่ ระบบการแข่งขัน ในทางการศึกษาทั้งหมด นะครับ

ผมเคยพูดไว้ ตั้งแต่ 2-3 ปี ที่แล้ว ว่าผมเองเนี้ย ผมใฝ่ฝัน จะเห็นว่า การศึกษา ระดับปฐม มัธยมเนี้ย นะครับ เด็กเนี้ย ได้ทำกิจกรรม อาทิตย์ หนึ่งเนี้ย อาจจะ มีเวลาครึ่งวัน สักสองวัน ด้วยซ้ำนะครับ ที่จะไปทำ กิจกรรม คือ การทำกิจกรรมเนี่ย จะเป็นกีฬา จะเป็นศิลปะ จะเป็นกิจกรรม เพื่อส่วนร่วม นะครับ หรือ อะไรก็ตาม เนี้ย มันจะฝึก ให้ เด็กเนี้ย ใช้ชีวิตร่วมกัน และ ก็เรียนรู้ว่า

การอยู่ร่วมกัน โดยการ มีคุณธรรม จริยธรรมเนี้ย มันดีอย่างไร นะครับ การที่ ไม่นึกถึง หลักเหล่านี้ แล้วเนี้ย มันทำให้ เกิดความทุกข์ ทุกข์กับตัวเอง ทุกข์กับเพื่อน ทุกข์ด้วยกัน ทั้งหมด อย่างไร ซึ่งถ้า เราส่งเสริม ให้เกิดตรงนี้ได้ จะเป็นประโยชน์มาก นะครับ แม้แต่ วันก่อน

ผมเป็นประธาน ประชุม เรื่องของ ผู้สูงอายุ นะครับ ก็มีข้าราชการ รายงานว่า ทำยังไง เด็กเรามีความใส่ใจ สนใจผู้สูงอายุ บ้าง ผมก็บอกว่า เอาง่ายๆ ว่าสมมุติ กิจกกรม ในโรงเรียน สักครึ่ง สักสองชั่วโมง ก็ได้ อาทิตย์หนึ่ง ให้เด็ก ไปเยี่ยมผู้สูงอายุ ในชุมชน ไม่มีอะไร เลย ไปนั่งคุย คุยกับ คุณตา คุณยาย สักคน ในชุมชน นะครับ แล้วเรา จะเห็นครับว่า

สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือว่า ผู้สูงอายุเนี่ย จริงๆ ท่านก็เหงา อยู่แล้ว ท่านก็จะ พูดคุยกับ เด็ก ด้วยความเมตตา ด้วยความเอ็นดู เด็กก็จะเริ่ม เรียนรู้ว่า อ๋อ ผู้สูงอายุ แกเริ่มมีปัญหานะ อาจจะ ลุกไปไหน มาไหนไม่สะดวก ก็จะมีเกิด เกิดความช่วยเหลือ เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน นะครับ แล้วก็ ทำให้ คนต่างวัย เนี่ย เข้าใจกัน ดีขึ้น

ผมก็เสนอว่า ของอย่างนี้ น่าทำ นะครับ แต่ว่า ถ้าเรายังไม่สามารถ ไปลดหลักสูตรได้เนี้ย ผมกลัวว่า เด็กนักเรียน ผู้ปกครอง โรงเรียน จะไม่อยากทำ ก็กลัวว่า เดี๋ยวลูกหลาน สอบเข้า มหาวิทยาลัย ไม่ได้ งั้นก็ต้องค่อยๆ ปรับ ปรับด้วยกัน แต่ว่า ผมคิดว่า เป้าหมายเนี้ย น่าจะเป็นอย่างงี้ แล้วก็พร้อมๆ กับ แนวนโยบาย ทางด้านอื่นๆ

พิธีกร (แทนคุณ) : หมายความว่า ในยุคสมัยของท่าน รัฐบาลของท่าน ภายใต้การนำของท่าน นายกอภิสิทธิ์ จะมีโอกาส ได้เห็นเด็กเยาวชน ของเราลักษณะนั้น พฤติกรรมลักษณะนั้นอยู

นายกรัฐมนตรี : ผมจะพยายาม ให้เร็วที่สุด จะพยายาม เดินไปสู่จุดนั้น ให้เร็วที่สุด แต่ก็เรียนตรงไป ตรงมา ว่ามันต้องใช้เวลาสักนิด เพราะขนาดเรา ขยับวิธีการ สอบคัดเลือกนิดเดียว ว่าจะใช้อะไร กี่เปอร์เซ็นต์เนี้ย ยังเป็นเรื่องที่ใหญ่ และใช้ เวลานาน ฉะนั้น ตัวนี่เลย เป็นเรื่องที่ต้อง ค่อยๆ จะเรียกว่า ปรับหรือก็ได้ ในการที่จะทำ

พิธีกร (แทนคุณ) : เริ่มฟังอย่างนี้แล้ว รู้สึกมีความ หวังนะครับ เพราะเรื่องของ คุณธรรม จริยธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ ต้องปฏิบัติ ไม่ใช่เรียนรู้ จากหนังสือ หรือตำรา นะครับ ต้องลงไปปฏิบัติ ก็ถามพระคุณเจ้าว่า เราจะมีกระบวนการฝึกฝน หรือสร้างเสริม อุปนิสัย ให้เป็นคนที่มีน้ำใจ เสียสละ ซึ่งคนไทย มีอยู่แล้ว ให้ฟื้นกลับเข้ามา เป็นค่านิยม ที่ถูกต้อง และสร้างสรรค์ ได้อย่างไรครับ

ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์ว่า ครึ่งหนึ่ง ของเรา การศึกษา มีอยู่แล้ว สิ่งที่เรา ต้องเติม ก็อย่างที่ ท่านนายก ฯ บอก เติมเนื้อหา เข้าไป อะไรคือ เนื้อหา พระจารย์ คิดว่า ทุกวันนี้เนี้ย การศึกษาไทย เราเน้น หัวสมอง มากไป เราน่าจะเชื่อมโยง หัวสมอง มาสู่หัวใจ

ถ้าเราเชื่อมโยง หัวสมองมาสู่หัวใจได้ เด็กของเรา ดื้อ ดื้อเรียน หลักของเรา ที่เรียกว่า วิชาการด้วย อันนี้ พระอาจารย์ เรียกว่า เป็นวิชาการ แต่เรา จะต้องเติม ไปอีก 2 วิชา

วิชาชีพ เค้าต้องมีวิชาชีพ สำหรับทำมาหากิน เป็นด้วยโดย สุจริต และ วิชาสำคัญที่สุด วิชาชีวิต ท่านนายก ก็คงได้ทราบว่า ช่วงนี้ เด็กของเราเนี้ย ใช้อินเทอร์เน็ต ไปในทาง เสียหาย ใช่ไหม ใช้เทคโนโลยี่ นี่มันขั้นสูง แต่คนนี่ คุณธรรม มันอยู่ขั้นต่ำ

ฉะนั้น เพราะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เอามารองรับอะไร ในเรื่อง กามรมณ์ เห็นไหม เรื่องการ ทำมาค้าขาย ของที่ไม่ดีทั้งหลาย แล้วก็เกิด เป็นเรื่อง เป็นราว ขึ้นมา ฉะนั้น การศึกษาไทย จะต้องเติมใน 3 เรื่องนี้

1. วิชาการ เด็กๆ จะต้อง ได้เรียนอย่างดีที่สุด อยากเรียน ต้องได้เรียน อาตมาเชื่อมั่นอย่างนั้น ว่า ยุคสมัย ของการด้อยโอกาส ทางการศึกษา ในสมัยของสังคมไทย ควรจะจบสิ้นลงไป อยากเรียน ต้องได้เรียน วิชาการ ต้องแน่นเปรี้ย

2. วิชาชีพ เค้า ต้องมีศักยภาพ ในการทำมาหากินเป็น เพราะอะไร ถ้าเราไม่เตรียม วิชาชีพ ให้ เค้าคอรัปชั่น จะมา ช่องว่างของคอรัปชั่น คืออะไร คน เนี้ย ไม่สามารถ ทำมาหากิน โดยสุจริตได้ ทำไม ไม่สามารถ ทำมาหากิน โดยสุจริต เพราะว่า เราไม่ได้เตรียม ตรงนี้ เราเตรียม แต่ การสอบ แข่งขัน

3. วิชาชีวิต จะทำให้เค้ารู้ว่า อะไรถูก ควรทำ อะไรผิด ควรเว้น อะไรคือ สิ่งที่เรียกว่า จิตสำนึกสาธารณะ อะไรคือ สิ่งที่เรียกว่า การรู้ กาลเทศะ อะไรคือ ความควรไม่ควร อะไรคือ สิ่งที่เรียกว่า ตัวเองควรให้ แก่สังคม อะไรคือ สิ่งที่สังคม ควรให้แก่ตัวเอง วิชาเหล่านี้

3 วิชานี้ อาตมา จะต้องฝาก ท่านนายก ฯ วิชาการเด็กไทย จะต้องได้เรียน อย่างดีที่สุด วิชาชีพ เรื่องสัมมาอาชีวะ จะต้องเติมลงไป และก็ วิชาชีวิต นี่คุณธรรม จริยธรรม

ตรงนี้เอง อาตมา ขอเล่านิดนึ่งว่า เคยทำโรงเรียน เตรียมสามเณร ที่จังหวัดเชียงราย ได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จ สมเด็จ พระเทพรัตน ฯ ของเรา เสด็จไป ทรงเยี่ยม โครงการ พระองค์เยี่ยม โรงเรียนเตรียมสามเณร

ตอนแรก ยังไม่ได้ชื่อโรงเรียน เตรียมสามเณร นะ เป็นโรงเรียน สามเณรธรรมดา ก็มีรับสั่ง ว่า เอ้ เตรียมแพทย์ เราก็มี เตรียมทหาร เราก็มี เตรียมตำรวจ ก็มี ท่านนายก ฯ ก็เป็น เตรียมจุฬา ใช่ไหม ท่านก็รับสั่งว่า เอ๊ะ ทำไม ไม่มี เตรียมสามเณร ล่ะ พระอาจาร์ย น่าจะทำ โรงเรียน เตรียมสามเณร และ นั่น เป็นเหตุให้ อาตมภาพ ทำโรงเรียน เตรียมสามเณร แห่งแรก ในประเทศไทย ขึ้นมา ถ้าเรา ทำตรงนี้สำเร็จ ปัญหาเรื่อง พระที่มี ศีลาจารวัติ ไม่งาม อย่างที่เป็นข่าว จะหายไป

พิธีกร (แทนคุณ) : ครับ สาธุ การเพิ่มพื้นที่เนี้ยนะครับ เป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งมีทั้งพื้นที่จริงๆ ที่เรา อาศัยอยู่กัน แล้วก็พื้นที่ ในแง่ของอากาศ คือ สื่อมวลชน พื้นที่ ในการทำกิจกรรม ท่านมีนโยบาย ในการผลักดัน สิ่งเหล่านี้อย่างไร ครับ และก็ โดยเฉพาะการสร้างความสัมพันธ์ ในความครัว ซึ่งถือว่า เป็นเหน่วยที่เล็กที่สุด ในสังคม แต่เป็น สถาบันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของโลกก็ว่าได

นายกรัฐมนตรี : จริงๆ โลกยุคนี้ พื้นที่อากาศ แพงกว่า เยอะเลย ใครอยู่ใน วงการสื่อสารมวลชน ทราบเลยว่า สปอตโฆษณา แค่ 30 วินาที ราคาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ตรงนี้สำคัญนะครับ ก็จะไป สัมพันธ์ กับ

เรื่อง นโยบาย การปฏิรูปสื่อ นะครับ ซึ่งรัฐบาล ก็กำลัง มีการดำเนินการ นะครับ ท่านรัฐมนตรี สาธิต วงศ์หนองเตย กำลังเร่งรัด ในเรื่องของ การที่เรา จะต้อง มีองค์กร ที่จะมา กำกับดูแล จัดสรร คลื่นความถี่ ซึ่งไม่ต้อง เป็นเรื่องว่า จะจัดให้ใคร แต่ว่า จัดเพื่ออะไร นะครับ

เพราะฉะนั้น ในเรื่องของเวลา ของ สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ ที่คุณจะต้องมี ในเรื่องที่เป็น ประโยชน์กับสังคม นะครับ ก็จะเป็น นโยบายสำคัญ ที่จะต้อง ผลักดันกัน ต่อไป อันนี้ ก็เป็นในแง่ของ การสร้างพื้นที่ี

ว.วชิรเมธี : ตรงนี้ ประมาณตน นิดนึง ได้มั้ยว่า ทางรัฐบาล มีแนวคิด ทำพื้นที่ ให้สื่อสีขาว อย่าง รายการ ธรรมะดีๆ รายการ เด็กดีๆ

นายกรัฐมนตรี : ผมคิดว่า เรากำลัง ที่จะกำหนด เรื่องของช่วงเวลานะ ครับ ในแง่ ของรายการ สำหรับเด็ก และเยาวชน ที่เป็นรายการ ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งก็ผสมผสานกันนะครับ ทั้งเรื่องของความรู้ ทั้งเรื่องของพื้นที่สีขาว แต่ว่า สิ่งที่ท้าทายมากนะครับ ก็คือ จริงๆ แล้วเนี่ย บางทีเราบอกว่า เราผลิตรายการ ดีนะครับ ก็คือ คนผลิตเนี่ย ผลิตออก มาตั้งใจบอก เป็นรายการดี แต่ปรากฎ ไม่ค่อยมีคนด ูเดี๋ยวนี้ เนี่ย มันมีช่องว่าง ระหว่าง สิ่งที่เรา อยากจะบอก กับ สิ่งที่คนอยากจะฟัง

พิธีกร (แทนคุณ) : เค้าบอก ข่าวร้าย ลงฟรี ข่าวดี เสียตังค์ นะครับ

นายกรัฐมนตรี : ที่มันท้าทายกันตรงนี้ ว่าทำอย่างไร เวลาที่ เรามีพื้นที่ ตรงนี้แล้วเนื่ย เราสามารถ ทำรายการ ที่สามารถเจาะเข้าไปได้ จริงๆ นะครับ ตรงนี้ ก็จึงเป็นเหตุผล ว่า รูปแบบของสื่อ ที่จะออกไป ก็อาจจะต้อง ปรับให้มีความ ทันสมัย มากขึ้นนะครับ อันนี้ ก็สำคัญ ส่วนในแง่ ของ ครอบครัว นะครับ ผมคิดว่า ก็เป็นเรื่อง ของ ค่านิยม ผมก็ เห็นใจจริงๆ เพราะว่า

ความบีบรัดทางเศรษฐกิจ คือปัจจัยสำคัญ ผมเชื่อจริงๆ พ่อแม่ทุกคนรักลูก แต่ว่า ความที่จะต้องดิ้นรน ในการหารายได้ นะครับ อยู่ในเมือง ก็ออกไปทำงานกัน ทั้งสองคน กว่าจะกลับมา ก็ดึกดื่น อยู่ชนบท ก็เข้ามาอยู่ในเมือง ฝากลูกไว้ กับ คุณตาคุณยาย มันก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ แต่ว่า เราก็พยายาม ที่จะส่งเสริม นะครับ ที่ผ่านมา ก็เดี๋ยวนี้ เราก็กลายเป็น ประเพณีแล้ว ใช่มั้ยครับ

สงกรานต์ ปีใหม่ ก็กลับไปหาครอบครัว แต่ว่า เราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้คนเนี่ย รักษาความใกล้ชิด ความอบอุ่น กับลูกหลาน ตัวเองด้วย


พิธีกร (แทนคุณ) : ก็มีคำถาม ถึงท่านนายกโดยตรง เลยนะครับ ท่านเลี้ยงลูกอย่างไร ให้ปลอดจากอบายมุข ซึ่งท่านเอง ก็เป็นคนท ี่เสียสละนะครับ ทุ่มเทเรื่องการบ้านการเมือง มาตลอดชีวิต ของท่านที่ผ่านมาก็ว่าได้ แล้วก็ ยังมีลูก อยู่ในวัยรุ่นด้วย

นายกฯ : ผมคิดว่า ที่สำคัญก็คือ ความใกล้ชิด กับความเอาใจใส่ นะครับ ผมก็จะสังเกตดู นะครับ ลูกผมตอนนี้ ก็โตแล้วนะครับ 18 คนนึง 15 คนนึง ก็ถือว่า เป็นวัยรุ่นแล้ว แต่ว่า

สิ่งที่สำคัญ ก็เรา ก็ดูว่า เค้าชอบอะไร เค้าทำอะไร นะครับ ผมก็เห็นเค้าอยู่ หน้าคอมพิวเตอร์ วันนึงอาจจะ มากหน่อย เราก็บอก ขอสัก 2 ชั่วโมง ได้มั้ย แล้วก็คอย ถามๆ คุยๆ กับเค้าบ้าง ว่าเค้าทำอะไร เค้าดูอะไร เผื่อที่ว่า เราจะได้ แนะนำ เค้าว่าทำไม ไม่ใช้อันนี้ ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งก็ต้อง หาความพอดี ความพอดี ก็คือว่า ไม่ใช่ปล่อยเค้าไปเลย ไม่รู้เลยว่า เค้าทำอะไร มันก็ มีช่องว่าง ขณะเดียวกัน ไปยุ่งกับ เค้ามาก เค้าไม่ชอบ หรอก เพราะเค้าโตแล้ว

พิธีกร (แทนคุณ) : เป็นประชาธิปไตย ในครอบครัวนะครับ

นายกรัฐมนตรี : ก็ต้องอาศัยความพอดีตรงนี้ครับ

พิธีกร (แทนคุณ) : พระคุณเจ้า ล่ะครับ เมื่อสักครู่ ท่านพูดถึงเรื่อง การอ่าน การอ่าน มีผลอย่างไร ต่อการพัฒนาความคิด ทั้งเรื่องกาย เรื่องสังคม เรื่องจิต และเรื่องปัญญาครับ

ว.วชิรเมธี : ตรงนี้ พระอาจารย์ ขอเล่านิดนึง เมื่อคืนนี้ พระอาจารย์กลับมาจากใต้หวัน ก่อนท่านนายก สักชั่วโมงนึงได้ ก็ไปร่วมงาน สัปดาห์ หนังสือโลก ที่ประเทศ ใต้หวัน แล้วที่น่า ชื่นชมมาก ก็คือ งานสัปดาห์หนังสือ ของเค้าเนี่ย เป็นงานที่ ต้องซื้อบัตร เข้าไปชม แต่เชื่อมั้ยว่า คนเนี่ย ต่อคิวกัน ยาวเหยียด

พิธีกร (แทนคุณ) : ผมทราบว่า เป็นหมื่นเลยใช่มั้ยครับ

ว.วชิรเมธี : เป็หมื่น เป็นแสน คนเยอะมาก แล้วที่ น่าทึ่งมากที่สุด คืออะไร ท่านประธานาธิบดี ของเค้าเนี่ย เป็นหนอนหนังสือ ท่านมาเปิดงาน ไม่พอ ท่านไปเยี่ยมชม ที่บูทไทย แล้วซื้อหนังสือไทย หลายเล่ม พระอาจารย์ ก็ได้มอบ งานเขียนให้ท่านเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือธรรมะ ภาคภาษาจีน ของ พระอาจารย์ แต่ที่ ทึ่งยิ่งกว่านั้น ก็คือ

เท่าที่ได้คุยกันท่าน เล่าว่า ที่ใต้หวัน ท่านมี ร้านหนังสือ 24 ชั่วโมง พระอาจารย์ ก็ไปพิสูจน์ ตอน 3 ทุ่มนะ ท่านนายก อาตมา อยากรู้ว่า ราคาคุย รึเปล่า ก็ไปดูปรากฎว่า 3 ทุ่ม ที่อาตมาไป คนประมาณ 200-300 คน อยู่เต็ม ร้านหนังสือ และ เป็นอย่างนี้ตลอด

ร้านหนังสือ 24 ชั่วโมง ที่นี่ มี 43 สาขา ทั่วประเทศ สิ่งที่อาตมา ตั้งข้อสังเกต ก็คือว่า ถ้าคนเค้า มีพลัง การอ่านน้อยเนี่ย ร้าน 24 ชั่วโมง เกิดขึ้น ไม่ได้ อันนี้ เป็นสิ่งที่ อาตมา อยากเห็น เกิดขึ้น ในเมืองไทย ก็คือ

จะทำอย่างไร ให้ สังคมไทย เป็นสังคมที่ รักการอ่าน รัการเขียน รักการเรียนรู้


รักการอ่านเนี่ย เราจะสามารถคิดได้ ในระดับ ที่ใกล้เคียงกัน

รักการเขียน เราจะกลายเป็น นักจดบันทึก ฐานข้อมูล ต่างๆ จะถูกเก็บไว้ อย่างเป็น ระบบ ระเบียบ คนรุ่นหลัง มาศึกษา หาความรู้เนี่ย ตามหารากเหง้า ของตัวอง ได้เจอทั้งหมด แล้วก็

รักการเรียนรู้ ถ้าสังคมไทย เป็นสังคม ฐานความรู้ ได้เมื่อไหร่นะ เครื่องลางของขลัง จะลดลง ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น เราจะต้อง เปลี่ยนสังคม ฐานความเชื่อ ไปเป็นสังคม ฐานความรู้ เนี่ย อาตมา อยากเห็น ท่านนายก เข้ามาช่วย ในเรื่องการ ส่งเสริม การรักการอ่าน

พิธีกร (แทนคุณ) : โดยเฉพาะ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดเลย ตั้งแต่เด็กปฐมวัย

ว.วชิรเมธี : อาตมาคิดว่า ทุกวันนี้ พ่อแม่ อยากให้ ลูกเรียน ภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เด็กๆ ใช่มั้ย ตั้งแต่ อนุบาล อาตมา่อยากให้ พ่อแม่ ของเราเนี่ย เอาธรรมะ ก็ดี การรักการอ่าน ก็ด ีเข้าไปสู่ ลูกหลาน ตั้งแต่ ยังอยู่อนุบาล

พิธีกร (แทนคุณ) : ขออนุญาต ถามท่านนายก นะครับว่า มีนโยบาย จะลดความเป็น วัตถุนิยม รวมทั้ง ข้อคิด ที่เป็น ธรรมะ ง่ายๆ ให้กับ เด็กปัจจุบัน หรือ มั้ยเค้าฟุ้งเฟ้อ จนหาเงิน โดยไม่ถูกวิธี

นายกรัฐมนตรี : ที่จริงแล้วเนี่ย คนไทย ก็โชคดีนะครับ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน แนวพระราชดำริ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็ สิ่งที่ท่าน รับสั่ง ไว้เนี่ย ผมคิดว่า ต้องช่วยกัน ทำความเข้าใจ

บางคนบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า เหมือนกับ ปฏิเสธ อะไรทุกสิ่ง ทุกอย่าง พระองค์ท่าน ไม่ได้รับสั่งอย่างนั้น


มีพระราชดำรัส ด้วยซ้ำว่า บางเรื่องแม้ว่า เป็นความหรูหรา หรืออะไรก็ได้ แต่ว่า ต้องรู้ ต้องประมาณตน ว่ากำลังเรา มีแค่ไหน ถ้าเราสามารถ หามาได้ ก็ไม่เป็นไร แต่การหา มาเนี่ย เป็นการหามา ที่ทำให้เรา ต้องไปเป็นหนี้ เป็นสิน แล้วก็ ไม่มี ปัญญา ที่จะไปใช้ ถ้าการหามา เป็นการ ไปเบียดเบียน ของคนอื่น เค้ามาเนี่ย อย่างนี้ ก็ไม่ถูกต้อง


พิธีกร (แทนคุณ) : โลภมาก ก็เบียดเบียน คนอื่นมาก

นายก : เพราะฉะนั้น ผมว่า ต้องอยู่บน ความพอดี แล้วก็ ย้ำอีกทีว่า บางทีเรา พยายามที่จะ ปลูกฝัง บางสิ่งบางอย่าง เนี่ย เราทำหลายอย่าง มันเกินจริง คือจะไป ห้าม เสียทุกสิ่งทุกอย่าง เลย แล้ว มันขัดกับ ธรรมชาติมนุษย์ เนี่ย

ในที่สุด มันทำไม่ได้ แต่ว่า ถ้าเราเดิน ในทางที่มัน เป็นทางสายกลาง ที่เป็น ความพอประมาณ เนี่ย ผมคิด ว่าจะมี ความเป็นไปได้ มากกว่า เพราะฉะนั้น ก็อย่าไปสุดโต่ง อย่าไปต่อต้าน อย่าไปบอก โอ้ ของใหม่ เป็นไปไม่ได้ หรอกครับ ผมไม่เห็นเลย ใครๆ ที่พยายาม จะต่อต้าน เทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เนี่ย อาจจะ รณรงค์กัน อยู่ได้สักพักนึง แต่สุดท้าย ก็ต้องยอม รับโดยดี เห็นมั้ยครับ

ดู 10 กว่าปี ที่ผ่านมา ดู โทรศัพท์มือถือ เนี่ย เมื่อก่อน เราบอก จะต้องใช้ รึเปล่า แต่ เดี๋ยวนี้ ผมเห็น คนพก เป็น 2 เครื่อง 3 เครื่อง 4 เครื่อง นะครับใช้ คุ้มค่าบ้าง ไม่คุ้มค่าบ้าง แต่เราต้านไม่ได้ อยู่ที่เรา จะทำยังไง ให้คน มีความพอดี

พิธีกร (แทนคุณ) : ถามพระอาจารย์ น่าจะเป็นคำถามใกล้ จะสุดท้าย แล้วนะครับ

เรื่องความสามัคคี ของ คนในชาติ
วัตถุนิยม มีส่วนเดิม ทีเราเป็น ทุนนิยม ตอนหลัง เราเป็น ธรรมะนิยม ตอนนี้ ก็เป็นทุนนิยม

ก็คือ คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์มาก ขึ้น ธรรมะเนี่ย บางคนบอก เป็นเรื่อง อุดมคติเกินไป เวลาปฏิบัติ เรื่องเห็นแก่ตัว ผลประโยชน์ มันใช้ไม่ได้ แต่ว่า ปรากฎว่า ผลของ การไม่ใช้ธรรมะ มันก็เกิด ความเสียหาย แก่ ประเทศชาติ พระอาจารย์ มีข้อคิด ที่จะเตือน คนที่ประพฤติ ไม่ชอบ หรือว่า ทุจริตคอรัปชั่น อย่างไรครับ

ว.วชิรเมธี : ตรงนี้เนี่ย พระอาจารย์ อยากเล่า นิทานปรัชญา สั้นๆ คือ

ที่อินเดียเนี่ย มีครอบครัวหนึ่ง พ่อเค้าสอนลูก ให้พูดความจริง ลูกเดินออกจากบ้าน
ไปที่โรงเรียน ไปถามเพื่อนว่า เคยโกหกมั้ย เพื่อนบอกเคย
ถามครู ครูเคยโกหกมั้ย ครูบอกเคย
เดินกลับบ้าน ถามแม่เค้า เคยโกหกมั้ย เคย
ก่อนกลับบ้าน ถามหลวงพ่อ เคยโกหกมั้ย หลวงพ่อบอก เคย
กลับบ้านมา เข้าไปกราบพ่อ บอก พ่อครับ โลกนี้ คนไม่เคยโกหก เห็นจะมีแต่ พ่อล่ะครับ แม่ลุกขึ้นยืนเลย บอกว่า กฤษณะ พ่อแก นี่ตัวดี


นี่คือ สิ่งที่พระอาจารย์ อยากจะบอกว่า การถ่ายทอด คุณธรรม จริยธรรม ทำไม่สำเร็จ ด้วยการเทศน์ เพียงอย่างเดียว ฉะนั้น ที่นายกฯ เริ่มไว้ ตอนแรก ว่า ทุกภาคส่วน ทุกองคาพยพ ของสังคม เราจะต้อง เคลื่อนไหวไปด้วยกัน

สิ่งสำคัญที่สุด ในเมืองไทยตอนนี้ คือ

1. คุณภาพคน ทำไมเรา เข้าสู่วิกฤตบ่อยครั้ง ในรอบ 2 ทศวรรษ ที่ผ่านมา ใช่ไหม ปี 2535 เราก็ พฤษภาทมิฬ
ปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง
ปี 2548, 2549 ,2550 ไม่ต้องพูดถึง วิกฤตกัน จนกลายเป็น คนป่วยของเอเชีย อันนี้คือ คุณภาพคน

เรื่องที่ 2. ก็คือ การคอรัปชั่น ทำไมคอรัปชั่น กลายเป็น วัฒนธรรม กระแสหลัก ของประเทศ อันนี้ จะต้องช่วยกันถอด รู้ให้ได้ ว่า เด็ก แม้แต่ ทุกช่วงวัย เดี๋ยวนี้ เห็นแล้ว เรื่องของ การคอรัปชั่น เป็นเรื่องธรรมดา พูดถึง เรื่องคอรัปชั่น เค้าจะใช้ คำๆ หนึ่งว่า ใครๆเค้าก็ทำกัน

ทำอย่างไร เราจะทำให้ เด็กพูดว่า คอรัปชั่นเหรอ โอ้โห นี่มัน อาชญากรรม นะเนี่ย ใครทำเป็น เรื่องใหญ่โตมโหฬาร น่ารังเกียจสุดๆ นี่คือ เรื่อง คอรัปชั่น เนี่ย จะต้อง ถอดถอน แล้วก็ สานค่านิยม

สังคมไทยนี้ เป็นสังคม ที่มี เอกภาพ มาแต่เดิม อาตมา ไม่อยากเห็นว่า มีไทยเหลือง ไทยแดง หรือ ไทยเหนือ ไทยอะไร เมื่อพูดถึง คำว่าไทย อาตมา อยากให้เรา นึกถึง คำว่า ไทยแลนด์ ไทยหนึ่งเดียว เหมือนที่ บารัค โอบามา บอกว่า เมื่อพูกถึง อเมริกา ขอได้มั้ย อย่ามี อเมริกา-เดรโมเครต อย่ามี อเมริกา-รีพลับบลิค ขอว่าเป็น อเมริกา ที่เป็นหนึ่งเดียว

อันนี้ อาตมา ขอฝาก ท่านนายกว่า ถ้าทำได ้เมืองไทย ก็จะเจริญแน่นอน

พิธีกร (แทนคุณ) : เรื่องความสามัคคี ก็เป็นคุณธรรม นะครับ อยากจะเชื่อมโยง ให้เห็นว่า คุณธรรม นอกจาก จะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แล้ว ท้ายที่จริงแล้ว ก็ยังเป็น นโยบาย ที่สามารถ ที่จะพลิกฟื้น คืนความน่าเชื่อถือ ให้กับประเทศชาติด้วย ต้องม ีความซื่อสัตย์ ความเสียสละ ท่านนายก มีความคิด ที่จะสร้างความสามัคคี อย่างไรครับ

นายกรัฐมนตรี : เรื่องความสามัคคีเนี่ย ก็ต้องสร้าง ด้วยการให้ความ เป็นธรรม ให้ทุกคน มีความรู้สึกว่า อยู่ในสังคมนี้เนี่ย เราอยู่ด้วย ความเท่าเทียม ให้เกียรติ ซึ่งกัน และกันนะครับ เพราะฉะนั้น ผมก็ใช้ แนวนี้ในการปฏิบัติ กับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่า จะมีความคิดเห็น ในทางการเมืองอย่างไร นะครับ ก็หมายถึง การบังคับใช้กฎหมาย โดยความเสมอภาค คดีความต่างๆ ว่าตรงไปตรงมานะครับ เชิญชวนทุกฝ่าย ให้เข้ามา มีส่วนร่วม ในการช่วยคิด ช่วยทำ สร้างสรรค์บ้านเมือง ต่อไป

ก็เลยขออนุญาต เพราะว่า รู้สึกว่า เวลาใกล้จะหมดแล้วนะครับ อยากจะเรียนอย่างนี้ นะครับว่า ในส่วนของการ ทำพื้นที่สร้างสรรค์ ผมกำลังให้ดูอีก โครงการหนึ่ง ยังไม่ได้ตั้งชื่อ นะครับ แต่เอาคร่าว ๆ ว่า “ลานบุญ ลานปัญญา” เพราะเรา มีความคิดว่า ต่อไป การกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ

การไปทำโครงการ ขนาดเล็ก ๆ ในชุมชนต่าง ๆ ก็คิดว่า สถาบันศาสนา เอาล่ะ ถ้าพุทธศาสนา ก็คือ วัด ถ้าศาสนาอื่น ก็จะมีสถานที่สำคัญ เราไป ปรับปรุง สถานที่เหล่านั้น ให้กลับมา เป็นศูนย์กลาง ในการระดมชุมชน

ทำไม เราจะต้องไป ทุกอย่าง ก็ไป ห้องประชุม หอประชุม เรากลับมา ที่วัดได้ไหม จะปรับปรุง เป็นลานสำหรับใช้ เวลาใน เสาร์-อาทิตย์ พ่อแม่ ลูกหลาน พระคุณเจ้า หรือ ผู้นำทางศาสนา มาใช้ จะทำกิจกรรม และ ก็ ไม่จำเป็น จะต้อง เป็นกิจกรรม ในเรื่องของศาสนา อย่างเดียว เราก็ แทรกเรื่องอื่น ๆ เข้าไป ซึ่งทำให ้ประชาชน หันกลับเข้ามา ตรงนี้มากขึ้น

อันนี้ เป็นตัวอย่าง สิ่งที่จะทำต่อไป ได้ให้ท่านรองนายก กอร์ปศักดิ์ ซึ่งดูแล ในเรื่องของ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ไปใช้อันนี้ เพราะเราคิดว่า ปรับปรุงโรงเรียน สถานีอนามัย สถานที่สำคัญทางศาสนา ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่ง ของมาตรการทางเศรษฐกิจด้วย

พิธีกร (แทนคุณ) : สุดท้ายครับ พร้อมกับฝาก ทิ้งท้ายด้วย เรื่องของการ พัฒนาการศึกษา การพัฒนาครู หัวใจสำคัญ ของความเป็นครูนั้น อยู่ที่ไหนครับ

ว.วชิรเมธี : อาตมาว่า อยู่ที่ การเอายอดคน มาเป็นยอดครู เพราะอะไร ครูคือ วิศวกรของสังคม ถ้าเราปล่อยให้ ใครก็ได้มาเป็นครู คำถาม ก็คือ แล้วคนรุ่นใหม่ ของเรา อยู่กับใคร

ฉะนั้น จะต้องเอายอดคน มาเป็นยอดครู เราไปดูคนอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เห็นไหม นิวตัน ก็ดี ระพินทร์ นาถฐากูร ก็ดี แม้แต่ คนดัง ๆ ทั้งหลาย ที่มีชื่ออยู่ใน ประวัติศาสตร์โลก เขาเลือกอาชีพครู

แต่ในเมืองไทย ของเรา ถ้าเรา ยังให้ความสำคัญ กับ ครู น้อยอยู่ เด็กของเรา จะมีชะตากรรม ที่ไม่น่าชื่นชมเท่าไร เพราะฉะนั้น สาระสำคัญที่สุด ไปเชิญ ยอดคน มาเป็น ยอดครู ก่อน แล้วหลังจากนั้น คนเก่ง ๆ ทั้งหลาย จะอยากเป็น ครู และเด็ก ๆ ก็ได้เรียน กับ ยอดคน ทั้งนั้น พอได้เรียน กับ ยอดคน เราก็ไม่ห่วงแล้ว ว่าคนรุ่นใหม่ ของเรา จะมีคุณภาพ มากน้อยแค่ไหน อันนี้ เป็นเรื่องที่ อาตมา ห่วงมาก

พิธีกร (แทนคุณ) : ทิ้งท้าย ให้ท่านนายกฯ ได้ฝากให้ เชิญชวนให้คน มาสนใจปฏิบัติธรรม และทำความดีครับ

นายกรัฐมนตรี : อย่างที่เรียนนะครับ พรุ่งนี้ก็เป็น วันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา และมี การจัดกิจกรรม มากมาย อยากเชิญชวน พุทธศาสนิกชน ทุกท่าน และ สิ่งที่อยู่ ในการสนทนา ในวันนี้ ทั้งหมด ก็เป็นแนวทาง ซึ่งรัฐบาล จะได้ยึดถือ และ ไปพิจารณา ในการที่จะ ขยายผล ต่าง ๆ ได้อย่างไร สำหรับเวลาของรายการในวันนี้ คงใกล้จะหมดแล้ว ก็อยากจะเรียนว่า

ผมเองได้พูดตั้งแต่ต้นว่า รายการ ที่จะจัด ทุกวันอาทิตย์ เป็นรายการ ที่ผมมุ่งเน้น ที่จะรายงาน ผลการทำงาน แล้วก็ได้พูดถึง แนวคิดของ การที่ จะนำพา บ้านเมือง ผมพูดมาตั้งแต่ต้นว่า ในสถานการณ์ บ้านเมืองในปัจจุบัน

ลำพังผม หรือรัฐบาล ทำงานเท่าไร ประสบความสำเร็จ ยาก ผมต้องระดม ทุกภาคส่วน เข้ามา เพราะฉะนั้น ในโอกาสข้างหน้า จะมีการเชิญ ผู้นำ ทางความคิด หรือ ผู้นำทางด้าน อื่น ๆ มาร่วม อยู่เป็นระยะ ๆ ตามสถานการณ์ ที่เหมาะสม แต่ว่า สำหรับสัปดาห์นี้ เวลาคงหมดเพียงเท่านี้ วันอาทิตย์หน้า พบกับใหม่ครับ สวัสดีครับ
พิธีกร (แทนคุณ) : สวัสดีครับ
ว.วชิรเมธี : เจริญพร

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th วันที่ข่าว 08 กุมภาพันธ์ 2552 เลขที่ข่าว 255202080064
ผู้สื่อข่าว : เสาวนีย์ นิ่มปานพยุงวงศ์ Rewriter : พรภัสสร ปิ่นสกุล


พิมพ์ ข่าวนี้ เชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯ อภิสิทธิ์ วันที่ 8 ก.พ. 52



อ่านเรื่อง ที่เกี่ยวข้องได้จาก

  • เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ออกอากาศ 18 มกราคม 2552
  • เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ออกอากาศ 25 มกราคม 2552
  • เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ออกอากาศ 1 กุมภาพันธ์ 2552
  • จาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์


    ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
    Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

    Create a free website or blog at WordPress.com.