Accom Thailand

January 13, 2009

แฉเล่ห์ “อำนวย” ล่าชื่อตำรวจ พวกแม้ว ถอด ป.ป.ช. ขวางสอบ 7 ตุลา เลือด

Filed under: การเมืองภาคประชาชน,ข่าวการศึกษา,ข่าวการเมือง,ข่าวฉาว,ข่าวประชาสัมพันธ์,ข่าวสังคม,ข่าวเมืองไทย,ข้อมูลควรอ่าน - Recomendation,คดีอาญา,ความขัดแย้ง,ความรุนแรง,คุณธรรม,คุณภาพชีวิต,จริยธรรม,ชุมนุมประท้วง,ตรวจสอบ,ตำรวจฆ่าประชาชน,ปปช,ประวัติศาสตร์ไทย,รัฐสั่งฆ่าประชาชน,องค์กรสิทธิมนุษยชน,อาชญากรรม — accomthailand @ 18:10
Tags: , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,


ศาลรู้ทัน ไม่รับฟ้อง “อำนวย” กล่าวหา 9 ป.ป.ช. !

พล.ต.ต.ภ??นวย นิ่มมะโน รภ?? ผบช.น.

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.


ศาล ไม่รับฟ้อง “อำนวย นิ่มมะโน” ยื่นฟ้อง “ป.ป.ช.ทั้งคณะ” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตั้งอนุกรรมการไต่สวน กรณีปราบม็อบ บุกสภา 7 ต.ค. ไม่ชอบ เหตุคดีไม่ครบ องค์ประกอบ ความผิด ขณะที่ ทนายเตรียมยื่น อุทธรณ์ต่อ


ศาลไม่รับฟ้อง “อำนวย นิ่มมะโน” ยื่นฟ้อง “ป.ป.ช.ทั้งคณะ” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตั้งอนุกรรมการ ไต่สวน กรณี ปราบม็อบบุกสภา 7 ต.ค.ไม่ชอบ เหตุคดีไม่ครบ องค์ประกอบความผิด ขณะที่ ทนายเตรียมยื่น อุทธรณ์ ต่อ

วันนี้ (13 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา ศาลได้มีคำสั่ง ไม่รับฟ้อง คดีที่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. มอบอำนาจให้ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน กรรมการป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช ),
นายกล้านรงค์ จันทิก,
นายใจเด็ด พรไชยา,
นายประสาท พงษ์ศิวาภัย,
นายภักดี โพธิศิริ,
นายเมธี ครองแก้ว,
นายวิชา มหาคุณ,
นายวิชัย วิวิตเสวี และ
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
ซึ่งเป็น กรรมการ ป.ป.ช. เป็นจำเลย ที่ 1-9 ในความผิด ฐานเป็น เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือ ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 157

กรณีที่ ป.ป.ช. แต่งตั้ง อนุกรรมการไต่สวน การกระทำผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีสั่งให้ ตำรวจสลายการชุมนุม พื้นที่หน้าบริเวณรัฐสภา เมื่อ วันที่ 7 ต.ค. 51 ไม่ชอบ ไม่ยุติการไต่สวน ทั้งที่ ศาลอาญาได้รับฟ้อง คดีที่ นายสิทธิพร โพธิโสดา ยื่นฟ้อง

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น),
พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร.,
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.,
พล.ต.ท.สุชาติ ผบช.น. และ
พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.
เป็น จำเลยที่ 1-5 ต่อ ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.4142 /2551 ในความผิด ฐานเป็น เจ้าพนักงาน ร่วมกันใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สลาย การชุมนุม เป็นเหตุให้มี ผู้เสียชีวิต และ ได้รับบาดเจ็บแล้ว

ซึ่งประเด็นเดียวกับ ข้อกล่าวหา ที่ ป.ป.ช.ไต่สวน ซึ่งตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย การป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 86 บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช. รับคำกล่าวหา ที่เกี่ยวกับเรื่องที่ ศาลรับฟ้อง ในประเด็นเดียวกัน

คดีนี้ โจทก์ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งศาลได้นัด ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น. อย่างไรก็ดี เมื่อศาลนำ คำฟ้อง มาตรวจพิจารณา แล้วเห็นว่า คดีไม่ครบองค์ประกอบความผิด จึงมีคำสั่ง ไม่รับฟ้อง และ งดการไต่สวนมูลฟ้อง ดังกล่าว

ขณะที่ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความโจทก์ กล่าวว่า เตรียมจะยื่น อุทธรณ์คดี ต่อไป

แฉเล่ห์ “อำนวย” ล่าชื่อตำรวจ พวกแม้ว ถอด ป.ป.ช. ขวางสอบ 7 ตุลาเลือด

แฉเล่ห์ฉ้อฉล “อำนวย” ส่งคนแสร้งฟ้องศาล สกัด ป.ป.ช.เชือดคดี 7 ตุลาเลือด

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์
13 มกราคม 2552 18:39 น.
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000003854


พิมพ์ ข่าวนี้ ศาลรู้ทัน ไม่รับฟ้อง “อำนวย” กล่าวหา 9 ป.ป.ช.!

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

“สุเทพ” ลั่น กรณี นปช. ให้ปลดนายกษิต นั้น ยืนยันว่า ไม่ยอมแลกแน่


“สุเทพ” ลั่นไม่เอา “กษิต” แลกเสื้อแดง แน่
ยันตั้ง ที่ปรึกษา รมต. ไม่ใช่ตอบแทน พันธมิตรฯ

สุเทพ เทื�กสุบรรณ ร�งนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งที่ปรึกษา และเลขาธิการข�งรัฐมนตรี

สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งที่ปรึกษา และเลขาธิการของรัฐมนตรี


“เทพเทือก” ยัน ตั้งที่ปรึกษา – เลขาฯ รมต. ส่วนใหญ่เป็น อดีตผู้สมัครของพรรค ย้ำ ยึดความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ ตอบแทน พันธมิตรฯ พร้อมวอน เสื้อแดง เห็นแก่หน้าตา ของชาติบ้าง เชื่อคงไม่ไปปิดสนามบิน ลั่น จะไม่ยอมเอา “กษิต” ไปแลกกับ ข้อเสนอ ยุติชุมนุมของ กลุ่มเสื้อแดง แน่


วันนี้ (13 ม.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึง กรณีการแต่งตั้ง ที่ปรึกษา และ เลขาธิการของ รัฐมนตรี ในส่วนของ พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นการตัดสินใจ โดยได้พิจารณาถึง บุคคลเหล่านั้น ซึ่งก็แล้วแต่ ความพร้อมของ แต่ละกระทรวง แต่ภาพรวม ในส่วนของ พรรค กับ รัฐมนตรี ได้ปรึกษาหารือกัน โดยมีเกณฑ์พิจารณาคือ ดูบุคคล ที่เป็นคนของพรรค ที่มีความรู้ ความสามารถก่อน เป็นลำดับแรก และ ค่อยมาดูบุคคลภายนอก ที่เราไว้ใจได้ และ คิดว่า สามารถมาช่วยงานเราๆ ได้ โดยมุ่งผลประโยชน์ ในการทำงานเป็นใหญ่


คลิกที่นี่ เพื่อชม “สุเทพ” ยัน จะไม่ยอมเอา “กษิต” ไปแลกกับ ข้อเสนอ กลุ่มเสื้อแดง (56 K)
คลิกที่นี่ เพื่อชม “สุเทพ” ยัน จะไม่ยอมเอา “กษิต” ไปแลกกับ ข้อเสนอ กลุ่มเสื้อแดง (256 K)
จาก manager multimedia


ผู้สื่อข่าวถามว่า รายชื่อในส่วนของ พรรคประชาธิปัตย์ มีรายชื่อของ กลุ่มพันธมิตร นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องแยกกัน กลุ่มพันธมิตรจริง คงไม่ใช่ แต่อาจจะเป็น คนของ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยไปทำกิจกรรมทางการเมือง ในเวทีของ พันธมิตร นั้น อาจจะใช่

เมื่อถามว่าจะเป็นเป้าให้ กลุ่มเสื้อแดงออกมาโจมตีหรือไม่ เพราะท้ายสุด พรรคประชาธิปัตย์ และ พันธมิตร เหมือนเป็น กลุ่มเดียวกัน นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ใช่ คนละอย่าง คนเหล่านั้น ไม่ใช่แกนนำ ที่สำคัญ ที่ทำงานเคลื่อนไหว แต่เป็นคนที่ เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ในนาม พรรคประชาธิปัตย์ และ เมื่อไม่ได้รับเลือกตั้ง เขาก็ไป เคลื่อนไหว ทางการเมือง ตามแนวทางความคิด ของเขา เพราะไม่มีเวที ที่จะแสดง ส่วนผู้ที่ได้รับ เลือกตั้ง ก็มีเวทีที่จะแสดง คือ รัฐสภา

ส่วนกระแสข่าวที่มี รายชื่อ นายสำราญ รอดเพชร อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. แกนนำ กลุ่มพันธมิตร รุ่น 2 เป็น ที่ปรึกษารัฐมนตรี นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่จริง ไม่มี ตนยังไม่เห็นชื่อ นายสำราญ ในบัญชี ที่จะเสนอ รายชื่อ ที่สื่อพูดถึง ไม่ว่า จะเป็น นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตผู้สมัคร ส.ส. นครราชสีมา และ นายประพันธ์ คูณมี อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. คนเหล่านี้เคยเป็น ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ตนไม่เคยคิดว่าเป็น ส่วนพันธมิตร อย่างไรก็ตาม เราไม่มีโควต้า ในส่วน ของ พันธมิตร

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี กลุ่มเสื้อแดง มีเป้าหมายเรียกร้องให้ ปลด นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ถ้าไม่เช่นนั้น จะมีการชุมนุมประท้วง นายสุเทพ กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็น ทางการเมือง เป็นสิทธิของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ สามารถชุมนุมได้ แสดงอาการเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วยก็ได้

เพียงขอให้ ปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน กลุ่มเสื้อแดง จะไปแสดงจุดยึน ในรูปแบบอื่น โดยไม่ใช่ การชุมนุม นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร แสดงความคิดเห็น ทางการเมืองได้ โดยสงบปราศจากอาวุธ

เมื่อถามว่า จะส่งผลเสียให้ กับประเทศ หรือไม่ เพราะการประชุม สุดยอดผู้นำอาเซียน เราต้องการ สร้างความเชื่อมั่น แต่จะมีการชุมนุม นายสุเทพ กล่าวว่า ถ้าประชาชนเหล่านั้น คิดถึง ชื่อเสียงหน้าตา ของประเทศ ก็จะขอความกรุณาว่า อย่าไปชุมนุมเลย ถ้าไม่เห็นด้วย กับ รัฐบาล ก็ใช้โอกาสอื่น ชุมนุมได้ทุกเวลา

“กรณีที่ นปช เรียกร้องให้ปลด นายกษิต รมว.ต่างประเทศ ออกจากตำแหน่งนั้น ผมยืนยันว่า จะไม่ยอมเอา ตำแหน่ง มาแลก กับ การยุติ การชุมนุมของ กลุ่มเสื้อแดง แน่นอน แต่หากพบว่า นายกษิต กระทำผิดจริง ผมจะเป็นคนเสนอ ให้ปลด นายกษิต ด้วยตนเอง” นายสุเทพ กล่าว

ส่วนกรณีที่ กลุ่มเสื้อแดง ระบุว่า จะไม่ปิดสนามบินอย่างเช่น กลุ่มพันธมิตร เคยทำนั้น นายสุเทพ กลุ่มคนเสื้อแดง คงไม่ปิดสนามบิน อย่างเช่น กลุ่มเสื้อเหลือง ทำมา

สำหรับ รายชื่อ ข้าราชการการเมือง ที่คาดว่าจะถูกเสนอ เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 13 ม.ค. นี้ ประกอบด้วย

นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
นายอิสรา สุนทรวัฒน์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็น รองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี

นางอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีต ส.ส.ภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ เป็น รองเลขาธิการนายกฯ ช่วยงาน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี

นายวิทเยนทร์ มุตตามระ อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขต 5 กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็น เลขานุการ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี

นายก้องศักดิ์ ยอดมณี อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขต 5 กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็น เลขานุการ นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต. ประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี

นายศิโรตม์ เสตะพันธุ์ กรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด เป็น เลขานุการ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง

นางภัทธมน เพ็งส้ม ภรรยา นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส. นนทบุรี เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ เป็น เลขานุการ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว. ยุติธรรม นายพิชัย บุณยเกียรติ อดีต ส.ว. นครศรีธรรมราช เป็นที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม

นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รองเลขาธิการ พรรคประชาธิปัตย์ เป็น เลขานุการ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข
นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา และ วิทยากร – ผู้ปราศรัยประจำเวที พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย เป็น ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข

น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล อดีตผู้สมัคร ส.ส. พะเยา พรรคมหาชน และ อดีตผู้ประกาศข่าวไอทีวี เป็น เลขานุการ นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม

นายเอกชัย ทรงอำนาจเจริญ อดีตผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ เป็น เลขานุการ นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.พัฒนาสังคมฯ นายชาญยุทธ โฆศิรินนท์ อดีตรักษาการ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็น ที่ปรึกษา รมว.พัฒนาสังคมฯ

นายสุธรรม นทีทอง อดีตรองประธานสภา กรุงเทพมหานคร เป็น เลขานุการ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ
นายบุญย์ธีร์ พานิชประไพ อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ

นายสุรพงศ์ พงศ์เดชขจร อดีตผู้สมัคร ส.ว. เชียงใหม่ และ อดีตนายกสมาคมศิษย์เก่า มงฟอร์ตวิทยาลัย เป็น เลขานุการ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ

นายขภัช นิมมานเหมินท์ เลขานุการ คณะอนุกรรมาธิการ พิจารณาศึกษา ความคุ้มทุน ปัจจัยที่มีผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจ และ ความคุ้มทุน ของ โครงการ ที่ลงทุนโดย รัฐบาล และ หน่วยงาน ของรัฐทุกโครงการ สภาผู้แทนฯ เป็น เลขานุการ นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน
นายวีระชัย ถาวรชล เป็น ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน

นายภูมิสรรค์ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา เลขาณุการส่วนตัว คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เป็น เลขานุการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี
นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ วิทยากร – ผู้ปราศรัยประจำเวที พันธมิตรฯ เป็น ที่ปรึกษา รมว.วิทยาศาสตร์ฯ

นายปรีชา ผ่องเจริญกุล อดีตผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ เป็น เลขานุการ นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์
นายสัญญา สถิรบุตร อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เป็น ที่ปรึกษา รมช.พาณิชย์

นายเกรียงยศ สุดลาภา อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เป็น เลขานุการ นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย
นายสุกิจ ก้องธรนินทร์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. เป็น ที่ปรึกษา รมช.มหาดไทย

รายงานข่าวแจ้งว่า ตำแหน่ง ที่ปรึกษา ของ รัฐมนตรีบางตำแหน่ง ยังไม่ได้ข้อสรุป ที่ชัดเจน เพราะยังอยู่ระหว่าง การตัดสิน ที่จะ คัดเลือกตัวบุคคล เข้ามาทำหน้าที่ ดังกล่าว และ บางส่วน ยังไม่มีการเสนอชื่อ เข้ามา

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์
13 มกราคม 2552 09:44 น.
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000003487


พิมพ์ ข่าวนี้ “สุเทพ” ลั่นไม่เอา “กษิต” แลกเสื้อแดง แน่ – ยันตั้ง ที่ปรึกษา รมต. ไม่ใช่ตอบแทน พันธมิตรฯ

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

“มาลีรัตน์” ระบุ ตร. กำลังลองของ “มาร์ค” ด้าน “ไทกร” แฉแผนลับ “เพื่อแม้ว” ดึง “เพื่อนเนวิน” คืน


พธม.เตือน “มาร์ค” เร่งจัดการตำรวจ
“ไทกร” แฉแผนลับ “เพื่อแม้ว” ดึง “เพื่อนเนวิน” คืน


“มาลีรัตน์” ระบุ ตร. กำลังลองของ “มาร์ค” ท้าทายอำนาจรัฐ ยิ่งกว่า เสื้อแดง จี้ต้องจัดการโดยเร็ว อย่ามัวเงื้อง่า จนหมดเวลา เหมือนรัฐบาล “สุรยุทธ์” เตือนพี่น้องพันธมิตรฯ เตรียมพร้อม “เพื่อแม้ว” ยื่นแก้ รธน. ช่วยนายใหญ่ เคลื่อนกำลัง ทันที

ด้าน “ไทกร” แฉกลุ่มก๊วน ในพรรคหุ่นเชิด แตกคอกันหนัก “เป็ดเหลิม” เดินเกมสร้างมวลชน ช่วงชิงการนำ หวังต่อรองกับ “นช.แม้ว” ขณะที่หลายกลุ่ม ไม่ยอมรับ หวั่นเอามรดกทักษิณไป ปู้ยี่ปู้ยำ จับตา แผนลับ ดึง “เพื่อนเนวิน” กลับลำ เตรียมเปิด อภิปราย “มาร์ค” ใส่ชื่อ “ปู่ชัย” เป็นนายกฯ ไว้รอ
552000000364809
รายการ “พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย”ออกอากาศ ทางเอเอสทีวี – ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-23.00 น. วันที่ 12 มกราคม 2552 สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการ โดยมีพี่น้องพันธมิตรฯ มาร่วมชมเต็มห้องส่ง เพื่อฟังการปราศรัย ของ นางมาลีรัตน์ แก้วน่า แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 และ นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำ กลุ่มอีสานกู้ชาติ

คั่นรายการด้วยการร้องเพลงสดๆ ในห้องส่ง โดย “โรเบอร์โต เม้ง” นักร้องชนะเลิศ การประกวด ระดับประเทศ ปิดท้ายด้วย ช่วงสนทนาประเด็น แนวโน้มการเมืองไทย หลังการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. โดยมี นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำสมัชชา ประชาชนภาคอีสาน และ นายเทิดภูมิ ใจดี อดีตผู้นำแรงงานร่วมสนทนา


คลิกที่นี่ เพื่อชม รายการ “พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” (56 K)
คลิกที่นี่ เพื่อชม รายการ “พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” (256 K)
จาก manager multimedia


สโรชา – สวัสดีค่ะพ่อแม่พี่น้อง ขอต้อนรับเข้าสู่ รายการ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ขอต้อนรับ พ่อแม่พี่น้อง ที่มาดูสดๆ ในห้องส่ง ของเราด้วย ต้อนรับไปยัง พ่อแม่พี่น้อง ทางบ้าน ที่ดูอยู่ทั่วประเทศไทย รวมถึงในต่างประเทศด้วย ช่วงนี้ พันธมิตรฯ อารมณ์ดีค่ะ อารมณ์ดี มาตั้งแต่ เมื่อวานบ่ายๆ เพราะว่าในช่วง เสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมา เราไปพบปะสังสรรค์กัน หลายต่อหลายท่าน

เชื่อไหมคะว่า มากันมืดฟ้ามัวดิน สำหรับ โรงเรียนผู้นำของ คุณลุงจำลอง ศรีเมือง ไปกันเยอะจริงๆ เกินคาด ทำให้พื้นที่ในบริเวณนั้น เต็มไปด้วยเต็นท์ เต็มไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยพันธมิตรฯ เราไปพบปะสังสรรค์กันมา ทำให้อารมณ์ดีแล้ว ปรากฏว่ากลับมาใน กรุงเทพฯ ในวันอาทิตย์ หลายท่านบอกว่า รีบกลับมา ออกจาก กาญจนบุรี ตั้งแต่เช้า เพราะว่าอยากจะมาเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ในช่วงบ่าย ให้ได้ ก็มา

ปรากฏว่าได้ข่าวดีในช่วงบ่าย เช่นเดียวกัน ไม่ใช่เพียงแค่ กระแสผู้ว่า กทม.อย่างเดียวนะคะ แต่กระแสของ การเลือกตั้งซ่อม ทั่วประเทศ ก็ทำให้ พันธมิตรฯ อารมณ์ดีเข้าไป อีกซักนิดหนึ่ง

เพราะฉะนั้น วันนี้อารมณ์ดีกันถ้วนหน้านะคะ ที่มีอารมณ์มีอยู่ไม่กี่คนหรอกคะ พ่อแม่พี่น้อง ที่ดูอารมณ์ไม่ดีเลย ดูบูดๆ ดูเบี้ยวๆ ยังไงชอบกล คุณแซม เนี้ย เชื่อไหมคะว่า เขาอุตส่าห์นะ ต้องใช้คำว่าอุตส่าห์ งัดกลยุทธ์เม็ดสุดท้าย

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ การเลือกตั้ง เห็นใช่ไหมคะ ป้ายหาเสียงของเขา เนี้ย ถึงขั้นพยายาม ฉุดกระแส รักทักษิณสุดชีวิต พยายาม ฉุดกระแสเสื้อแดง สุดชีวิต เจ็บใจ แค้นใจ สงสาร เทคะแนน วันที่ 11 ม.ค. อะไรประมาณนั้น เรียกว่า ฉุดกันสุดชีวิต ไม้เด็ดจริงๆ เขาเชื่อว่าอย่างนั้น

ผลปรากฏว่า ในที่สุดแล้ว ไม่สามารถเอาชนะใจ คนกรุงเทพมหานคร ได้ ข่าวบอกว่า จาก 50 เขต ในกรุงเทพฯ คุณแซม ชนะเพียง 4 เขต เท่านั้น คุณชาย สุขุมพันธุ์ได้ไป ทั้งหมด 46 เขต 4 เขตที่ไม่ได้เลือก คุณสุขุมพันธุ์ มาเป็นอันดับ 1 คือ

เขตดอนเมือง เป็นปกติอยู่แล้ว อันนี้เราทราบกันดี เขตลาดกระบัง นี่ก็ใช่เป็นเขต ส.ส.เขา เขตสายไหม ก็ใช่ เขตดุสิต เขาว่าผิดแปลก ไปเล็กน้อย เพราะ คุณแซมชนะคุณชายสุขุมพันธุ์ ไปเพียง 345 คะแนน เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น 4 เขตในกรุงเทพฯ ดอนเมือง ลาดกระบัง สายไหม ดุสิต เป็น 4 เขต ที่คุณแซมคะแนนนำ เป็นอันดับ 1 แต่ที่เหลือ 46 เขต คุณชายสุขุมพันธุ์ กวาดเรียบ จนได้มา 9 แสน กว่าคะแนน ทำให้ ประชาธิปัตย์ ชื่นอกชื่นใจไปตามๆ กัน

แหมอย่างนี้ (เสียงหัวเราะ) หัวเราะเล็กน้อย พ่อแม่พี่น้อง เพราะว่าไม่ได้ ไม่ได้ คือในช่วงสัปดาห์สุดท้าย เห็นป้ายโฆษณาเขาแล้วหละ เห็นป้าย หาเสียงแล้ว นึกในใจ โอ้โห ใช้ไม้นี้เลยหรือ เพราะเขาพยายาม จะวางตัวค่อนข้างห่างจาก การเมืองระดับประเทศ มาโดยตลอด สังเกตว่า คุณแซม ไปสัมภาษณ์ ที่ไหน ก็พยายามจะบอกว่า การเมืองท้องถิ่น การเมืองกรุงเทพฯ นั้น ถือว่า เป็นคนละส่วน คนละระดับ กับ การเมืองในภาพรวม ในภาพใหญ่ เขาพยายามจะพูดอย่างนี้ ตลอด

เพราะคน มักจะถามเขาว่า ช่วงนี้กระแสของ เพื่อไทยตกใช่ไหม โดยเฉพาะใน กรุงเทพฯ กระแสประชาธิปัตย์ มาแรงนะ คุณแซม ก็พยายามจะ ดึงตลอด ท้ายสุดไม่ได้ละ สงสัยต้องพึ่งกระแส เพราะว่า โพลคะแนน ไม่ขึ้นจริงๆ ในที่สุด ก็ว่ากันไปตามนั้น (หัวเราะ) ขอโทษค่ะ ขอนิดหนึ่งนะคะ

ที่เศร้าเหงาหงอย ก็คือ คุณตู่-จตุพร บอกว่าไม่ได้นะ ใครบอกว่าเลือกตั้งซ่อมแล้ว มาแนวนี้แล้ว กระแสทักษิณ ตกเนี้ย ไม่ใช่เลยนะ คุณอภิสิทธิ์ คุณเก่งจริงนะ คุณยุบสภา เลือกตั้งใหม่ และ ถ้าคุณเชื่อว่ากระแสของ พรรคประชาธิปัตย์ มาแรงจริงๆ แสดงว่า คุณต้องกล้ายุบสภา และ เลือกตั้ง ใหม่ ถ้าหากว่า เลือกตั้งใหม่แล้ว ประชาธิปัตย์มาได้เป็นรัฐบาล เขาบอกว่าเขาจะ ยุติการเคลื่อนไหว ทั้งหมด และ พรรคเพื่อไทย จะยอมแพ้ และ กลายเป็นฝ่ายค้านในที่สุด

โธ่ คุณตู่ขา แค่นี้ 29 คน ยังไม่พิสูจน์ อีกหรอคะ ว่ากระแสตกไม่ตก คุณตู่ บอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ จริงๆแล้วไม่เกี่ยว จะบอกว่า กระแสตก คงไม่ใช่ แต่ด้วย อำนาจเงิน และ ด้วยอำนาจรัฐเนี้ย ทำให้การเลือกตั้งซ่อม ในครั้งนี้เนี้ย ทำให้พรรคเพื่อไทย เสียเปรียบ ในการหาเสียง เสียเปรียบ ในการเลือกตั้ง จนในที่สุด ได้กลับไปไม่กี่เสียงเนี้ย ก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่ คุณตู่ เอามาอ้างเนี้ย นั่นคือสาเหตุ ที่จะทำให้ เพื่อไทยแพ้ไป

แต่คุณตู่บอกว่า ถ้าเกิดไม่ ยังวกกลับไป ประเด็นของ คุณกษิต ภิรมย์ นะคะ บอกว่าถ้าเกิดไม่มี การปลด รัฐมนตรีกษิต รัฐมนตรีว่าการ กระทรวง การต่างประเทศ นั้น กลุ่มของคุณจตุพร จะไปปิดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ และ ทำเนียบรัฐบาล นอกจากนี้แล้ว เห็นไหม อาเซียน ที่จะประชุม กันเนี้ย ไม่น่าจะเข้าท่าเลย เพราะว่าหลายประเทศ กำลังจะถอนตัวไม่ยอมมาประเทศไทย เพราะไม่เห็นด้วย และไม่เห็นความชอบธรรม ของ รัฐบาลชุดนี้ แหม คุณตู่ ต้องเช็คข้อมูลหน่อย นะคะ จะพูดอะไรเนี้ย ต้องเช็คข้อมูล นิดหนึ่ง

เพราะว่าล่าสุดเนี้ย ประเทศกัมพูชา เขายืนยันมาแล้วนะคะ ว่าสัปดาห์ที่แล้ว ที่เขาออกมาให้สัมภาษณ์ว่า สมเด็จฮุนเซน นั้นอาจจะไม่พร้อม ในบางด้าน จึงอาจจะ ไม่สามารถมาประชุมอาเซียน ที่ประเทศไทย ในปลายเดือนหน้าได้เนี้ย สรุปแล้ว วันนี้ รัฐมนตรีกระทรวงแถลงข่าว นะคะ คุณเขียว กันนะริด ออกมาแถลง เป็นคนเดิม กับที่พูดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ออกมาบอกว่า

ท่านฮุนเซน ท่านไม่ได้พูดว่า จะไม่มาร่วม แต่ท่าน มีความยุ่งยากบางประการ แต่หลังจากที่หารือกันแล้ว ท่านมั่นใจว่ามาได้ สรุปว่า กัมพูชา มานะคะ แล้วประเทศอื่น ก็ไม่ได้ดูมีทีท่ามีปัญหาอะไร ลองดูว่า คุณตู่-จตุพร ข้อมูล จะแม่นหรือไม่อย่างไร แต่ว่า คุณจักรภพ เพ็ญแข วันนี้ออกมาบอกว่า มีแนวทาง ที่จะเคลื่อนไหวของ กลุ่ม นปช. 3 แนวทาง

1.ในสัปดาห์หน้า จะมีการยื่นหนังสือต่อ สถานทูตของ ประเทศอาเซียน 9 แห่ง เบื้องต้นประสานงานไปแล้ว เจ้าหน้าที่ของสถานทูต บอกว่า จะมารับหนังสือ ด้วยตัวเอง ประมาณ 4-5 ประเทศ จาก 9 ประเทศ บอกว่าไม่ควรจะมา เพราะว่า รัฐบาลชุดนี้ ไม่มีความชอบธรรม เขาอ้างอย่างนั้น

2. จะมีการยื่นหนังสือต่อ สมาชิกถาวรของ องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ทั้งหมด 5 ประเทศ เพื่อชี้ถึง ความไม่ชอบธรรม ในการดำรงตำแหน่ง ของ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ

3. แนวทางสุดท้าย คุณจักรภพบอกว่า จะมีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น และ ขอคำแนะนำ จาก บางประเทศ ที่มีประสบการณ์ ครองอำนาจแบบ เผด็จการซ่อนรูปประชาธิปไตย เช่น ประเทศอาร์เจนตินา

คุณจักรภพ เพ็ญแข ว่าอย่างนั้น แต่พรุ่งนี้ผู้สื่อข่าว ASTV บอกว่า คุณจักรภพ มีนัดสำคัญ พรุ่งนี้คุณจักรภพ จะไปรายงานตัว หรือไปมอบตัวกับ สำนักงานอัยการสูงสุด เพราะว่าจะต้องไปรายงานตัว เกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พรุ่งนี้รอดูนะคะ คุณจักรภพ 10.00 น. ที่สำนักงาน อัยการสูงสุด รอดูว่า คุณจักรภพ จะว่าอย่างไร กับข้อกล่าวหา เกี่ยวกับ การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

เดี๋ยวมีอีกหลายเรื่อง ที่เราจะต้องมาพูดคุยกัน ในวันนี้ ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ค่อนข้างร้อนแรง เพราะว่า กระแสของรัฐบาล กระแสของฝ่ายค้าน เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และ ต้องวิเคราะห์กัน หลายประเด็น แต่ตอนนี้ไปพบกับ ท่านนี้ค่ะ แกนนำพันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 คุณมาลีรัตน์ แก้วก่า สวัสดีค่ะ เชิญพี่ มาลีรัตน์ ค่ะ

552000000364812
มาลีรัตน์ – สวัสดีค่ะคุณแอ้ม สวัสดีท่านผู้ฟัง ที่อยู่ทางบ้าน ท่านผู้ชม ที่อยู่ในห้องส่ง ท่านผู้ชม ที่อยู่ทางบ้าน และ ท่านผู้ชม ที่อยู่ต่างประเทศ ด้วยนะคะ หลังปีใหม่ เพิ่งมาเจอกัน แต่ได้เจอหน้ากันบ่อยๆ เพราะดิฉันเอง ก็จัดรายการทางช่อง อีสานดิสคัฟเวอรี่ คือ ASTV 4 ของเรา ท่านผู้ชม ที่อยู่ต่างประเทศ จะไม่มีโอกาสได้กดเจอ เพราะไม่มีใน อินเตอร์เน็ต แต่ใครที่อยู่ใน ประเทศไทย กดไปช่อง 4 จะเจอกัน เดี๋ยวนี้จัด เสาร์-อาทิตย์ สัปดาห์หนึ่ง 2 วัน วันละ 2 ชั่วโมง ท่านมีโอกาสได้เจอกับ ดิฉันอยู่แล้ว แล้วก็เจอตามงานต่างๆ ตามงานนี่ ไม่ค่อยพลาด แต่ห้องส่ง เอาเป็นว่า หลังปีใหม่ เพิ่งจะมาวันนี้ ได้เจอกันหน้าจอ ก็แล้วกัน

วันก่อนไปที่กาญจนบุรี วันรุ่งขึ้นกลับ จอดรถอยู่ที่หนึ่ง ที่กาญจนบุรี ประทับใจมาก ตื่นเต้นมาก คุณแอ้ม ทราบไหมคะ ท่านผู้ชม จะเล่าให้ฟังว่า ขับผ่าน ยังไม่ถึงท่าม่วง แต่จะมีร้านอยู่ทางซ้ายมือ เป็นไม้มันวับเลย แล้วทุกคน ที่เข้าไปใน ร้านเนี้ย ถอดรองเท้า

เราก็เฮ้ย ร้านนี้ทำไมคนเยอะจังเลย นะคะ น้องๆเขาก็บอกว่าเขาไปซื้อขนม ซื้อของฝากกันนะ เราก็เฮ้ยร้านอะไรกัน ถอดรองเท้า ซื้อของฝาก ตื่นเต้นมาก ก็เลยลงไปดู เพราะว่าจะไป ทานข้าวร้านใกล้ๆนะคะ ปรากฏว่าลงไปดูนะคะ ก็ไปเจอ

ถาดใส่สารพัดอย่าง แล้วก็กำลังขูดมะพร้าว กำลังล้างสมุนไพร ก็คือ พวกมะกรูดอะไรอย่างเนี้ยเยอะๆ เราก็ไปถามว่า นี่คืออะไรคะ เขาก็บอกว่า สมุนไพร เราก็เอ๊ะ เอาสมุนไพร มาทำขนมหรอคะ ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม เขาก็บอกว่าไม่ใช่ ที่นี่รักษาฟรี พอเราพูดสักพัก คนก็เริ่มมา มุงดูในร้านนะคะ มามุงดู กันใหญ่เลย

เอ่อ แกนนำรุ่น 2 ใช่ไหม ก็ชักเอ๊ะ แบบมากขึ้นๆ เราก็เลยเดินไปในร้าน ให้เขาดูเลย รู้แล้ว รู้รอด คนเกือบร้อย นะคะ ที่เตรียมของอยู่ เป็นอาสาสมัคร ที่นั่นรักษาฟรี ด้วยสมุนไพร ก็ผลพวงมาจาก วัดพระพุทธบาทที่ สระบุรีนะคะ ซึ่งพระอาจารย์ ท่านก็ไปเปิดอยู่ที่นั่น แล้วรักษาหายกันเยอะ ว่าอย่างนั้น นะคะ แล้วดิฉัน ก็เออตื่นตาตื่นใจ เล่ากันให้ฟัง แต่ไม่ต้องห่วงเลยคะ

เดินเข้าไปร้านอาหาร มีแต่คนทักเต็มไปหมด เหมือนกัน ปรากฏว่า มาจาก โรงเรียนผู้นำ กันหมดเลยเมื่อคืน ก็อันนี้ก็เป็นอันว่า รถติดกันอยู่ 2 วัน เต็มๆ ไปโรงเรียนผู้นำ นะคะ ดิฉันเอง ก็เหมือนที่ คุณแอ้มว่า ก็คืองานนี้เนี้ย คนไป แบบมหาศาล ท่านก็คงทราบแล้วว่า ดิฉันพูดออกรายการ ไปแล้วว่า หลานสาวเนี้ย ถามว่า ป้าๆ นั่นต้นอ้อยใช่ไหม เห็นคน นะคะ นึกว่า เป็นต้นอ้อย คนเยอะมาก เราก็นึกว่าเป็นต้นอ้อย แบบติดๆๆ คุณแอ้ม คงงงเนอะ มองคนเป็นต้นอ้อยได้อย่างไร เขามองเห็น หัวคน ที่เป็นต้นอ้อย นะคะ มันถี่ๆ จนแบบว่า นึกว่าเป็นอย่างนั้น เอาเข้าจริงๆ กลายเป็นว่า คนเต็มไปหมด นะคะ

แสดงว่าพวกเราเนี้ย ทำงาน ทำอะไรทำจริง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราพบว่า เราจากกัน ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. เนี้ย ประมาณ เดือน กับอีก 10 วัน เอง ยังไม่ถึงดีด้วย ไปไหนก็ไปกันเต็มไปหมด

เพราะฉะนั้นก็เนี้ยแหละก็คือ ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน วันนี้ก็เลย จะคุย เรื่องนี้แหละคะ ก้าวต่อไปของ ประชาชนเราเนี้ย นอกจาก คอนเสิร์ตการเมือง แบบนี้เนี้ย หรือการชุมนุมแบบนี้ เราจะทำอะไรกันต่อไป ก็คืออีกหัวข้อหนึ่ง ที่อยากจะพูดคุยนะคะ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น

ก็อยากจะสรุปกันสั้นๆ ก่อนว่า 193 วัน เราได้อะไรกันบ้าง เอาเป็นข้อย่อยๆ ก่อนนะคะ ว่าจะมาตอบเหตุการณ์ปัจจุบัน แล้วค่อยก้าวต่อไป อันที่หนึ่งเนี้ย ดิฉัน เอาแค่ 4 ข้อ วันนี้

1. ก็คือสามารถปกป้อง เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ชาติอย่างไรนะคะ ท่านมีคำตอบอยู่ในใจทุกคนแล้ว ดิฉันคงไม่ต้องกระตุ้นนะคะ ถ้าจะพูดบอกว่าปกป้องได้อย่างไรเนี้ย ศักดิ์ศรีของชาติเราเนี้ย เราสามารถรักษาไว้ได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรณีของ การชุมนุมของเรา เรียกร้องให้ สถานทูตอังกฤษ หรือว่า รัฐบาลอังกฤษเนี้ย อย่าให้ ที่ลี้ภัยกับนักโทษต้องคดี อังกฤษ ก็เพิกถอนวีซ่า อาจจะไม่ใช่เพราะเรา ก็ได้ แต่การชุมนุม ของเรา เราเรียกร้อง มาตลอดแบบนี้

ในขณะเดียวกันก็อายัดทรัพย์ อีก 1.4 แสนล้าน เพราะฉะนั้น ผลงานนี้ ก็เป็นผลงานเราด้วย ด้านศาสนา ดิฉันไม่ต้องซ้ำ ด้านพระมหากษัตริย์ ปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นที่รู้กันดี เหตุที่ คุณแอ้มพูด พรุ่งนี้ใช่ไหมคะที่ คุณจักรภพ เพ็ญแข จะไปมอบตัวต่อ อัยการสูงสุด นี่ก็เป็น ตัวอย่างหนึ่งค่ะ ท่านผู้ชม ที่มันเป็นผลงาน ผลสำเร็จ ของพวกเรานั่นเอง

ถามว่า ไม่มีการชุมนุมของ พันธมิตรฯ จักรภพ อาจจะยังเชิดหน้าชูตาเป็น รัฐมนตรี ของประเทศไทย ต่อไป ไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้น อันนี้ ก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว ไม่รวมเรื่องของ ดารณี ไม่รวมเรื่องของ ดารณี คนละดา นะคะ แต่ดา 2 ดา ชื่อคล้ายกัน แล้วไปสนับสนุน พลพรรคเสื้อแดง ทั้งคู่ คนหนึ่ง ก็โดนคดีหมิ่นไปแล้ว จำคุกไปแล้ว หรือ คุณสุชาติ นาคบางไทร ซึ่งวันนี้สงสัย ไปถือกระเป๋าให้ นักโทษคนไหน ก็ไม่ทราบ เพราะว่าหาไม่เจอ ตำรวจหาไม่เจอแล้ว กว่าจะ ดำเนินคดี ก็หาไม่เจอ แต่เพราะ ผลพวงมาจาก การชุมนุม ทั้งนั้น อันนี้คือเรื่อง ผลสำเร็จข้อที่ 1

ข้อที่ 2. เราสามารถ ปกป้องรัฐธรรมนูญ และ ประชาธิปไตย ให้ยั่งยืน อันนี้ไม่ต้องกล่าวซ้ำ ท่านทราบดีกันอยู่แล้ว

ประการที่ 3 ปกป้อง กระบวนการยุติธรรม หรือ ตุลาการ ให้สามารถดำเนินการ ไปได้ด้วยดี และสามารถ ตรงไปตรงมาได้ เหมือนที่ องค์พระบาท สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราโชวาท ให้ผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อไม่นานมานี้

2-3 วันนี้ พระองค์ท่านมีพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท ให้กับผู้พิพากษา ว่า สถาบันนี้ เป็นสถาบัน ที่สร้างความเป็นธรรม และ ทำให้ คนอยู่เย็น เป็นสุขได้

ในขณะเดียวกัน ท่านย้ำว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นต้อง ไม่เลี้ยวซ้าย ไม่เลี้ยวขวา ตรงไปตรงมา ก็คือไม่ได้พูด เรื่องเป็นกลาง แต่บอกว่า ตรงไปตรงมา พระองค์ท่าน ตรัสด้วยคำนี้เลย แล้วถือ เกณฑ์กฎหมาย เป็นหลัก เพราะฉะนั้น จุดนี้ เรามีส่วนช่วยจรรโลง กระบวนการยุติธรรม ด้วย

ประการที่ 4 สำหรับผลงานของเรา ก็คือเราสามารถ ที่จะ จริงๆ พูดไปแล้วหละ คือ รักษาศักดิ์ศรี ของประเทศ เกียรติภูมิ ของประเทศ เหมือนกับ เราปกป้อง สถาบันชาติ ด้วย เอา 4 ข้อพอ

ทีนี้ทั้ง 4 ข้อมาจากอะไร วันนี้ได้อ่านข่าว เรื่องของนายกรัฐมนตรี ไปบรรยายพิเศษ พี่น้อง พูดแล้วก็ตลก ดิฉันก็งง พล.ต.ท.คนหนึ่ง ชื่อว่า อำนวย นามสกุล จำไม่ได้ ไม่ใช่ สมยศ พุ่มพันธุ์เพ็ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บังอาจขนาดไหนพี่น้อง ลุกขึ้นถาม คุณอภิสิทธิ์

คุณอภิสิทธิ์ ไปบรรยายที่ เขาเรียกว่า ผู้บริหารระดับสูงใน กระบวนการยุติธรรม คือมีทั้ง ข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร นักธุรกิจ ไปเรียนร่วมกัน เป็นหลักสูตรของ กระทรวงยุติธรรม นายกฯ ไปบรรยาย

นายตำรวจคนนี้ ลุกขึ้นถามว่า กระบวนการยุติธรรม มีจริงหรือเปล่า คำถามคือ เขาถามว่า 7 ตุลา ตำรวจทำตามนโยบาย ของรัฐบาล เขาผิดด้วยหรือ นี่หรือคือ กระบวนการยุติธรรม

พี่น้องคิดอย่างไร ดิฉันงงมาก คุณอภิสิทธิ์ ก็ใจดีเนาะ นายกฯ ใจดีมาก นายกฯ ก็ตอบ แบบตรงไปตรงมา เหมือนกัน นายกฯ บอกว่า จริงๆ แล้ว เขาอ้างว่า ป.ป.ช. สอบพวกเขาอยู่ขณะนี้ จะเอาผิดพวกเขา มันถูกหรือ ประมาณนั้น คุณอภิสิทธิ์ บอกว่า ป.ป.ช. ยังไม่ชี้มูลเลย แต่ถ้า ป.ป.ช. ชี้มูลออกมา ใครผิด ก็ต้องว่าไป ตามผิด ก็เลยสะใจ

นี่คือเหตุการณ์ปัจจุบัน ที่เกิดขึ้น แถมคุณอภิสิทธิ์ พูดต่อไปอีก บอกว่า การทำตามนโยบาย คนที่กำหนดนโยบาย ก็ต้องดูว่า ยุติธรรมไหม สามารถ ปกป้องชีวิตประชาชนไหม คนทำตามนโยบาย ถามว่า การยิงแก๊สน้ำตา ได้มาตรฐาน หรือไม่ นี่คือ

นายกฯ อภิสิทธิ์ ถาม คุณสมยศ คืน แต่ดิฉันอยากจะชี้ว่าเรื่องนี้ นั่นมันหมายถึงว่า ตำรวจคนนี้ หรือคนอื่นๆ ที่ประพฤติตัว แบบไม่ดี กำลังลองของ นายกรัฐมนตรี คนนี้หรือไม่ กำลังลองของ รัฐบาล นี้หรือไม่ พอเจอ ตำรวจ ทำแบบนี้ ในทัศนะดิฉัน เสื้อแดง ที่จะชุมนุมต้าน การประชุมสุดยอด อาเซียน เล็กไปเลย

เรื่อง ตำรวจทำแบบนี้ ใหญ่กว่า ท้าทาย รัฐบาลมากกว่าเสื้อแดง ที่ทำมา เพราะว่า เสื้อแดง เห็นแล้ว ไปไล่ คุณชวน ที่ลำพูน สะใจดี ชนะไปเลย ชนะไปเลย ประชาธิปัตย์ชนะ

ลำพูน – ประชาธิปัตย์ไม่เคยมี ส.ส. มายาวนานมากๆ ก็ได้มาเรียบร้อย นี่อันที่ 1

จ.ลำปาง ไปไล่เขาอีก ประชาธิปัตย์ที่ ลำปาง พี่น้องเอ๊ย ดิฉัน จะบอกว่า มันแบบ ห่างกันคนละสิบโยชน์ เป็นร้อยเท่า ไม่ใช่สิบเท่า คะแนน ประชาธิปัตย์ กับคะแนน ไทยรักไทย ที่ผ่านมาในอดีต

แต่รอบนี้ แพ้ไป 2,700 คะแนน คุณชวนบอกว่า อาจารย์เราแพ้ 2,700 คะแนน แสดงว่า เราชนะ ก็เลยอยากจะมองเหตุการณ์ ในปัจจุบันว่า มันไม่มีความแน่นอน

1. ตำรวจท้าทายอำนาจรัฐบาล
2.เสื้อแดงตามป่วน

แต่การกระทำของ เสื้อแดงไม่ได้ทำให้ เสียงของ พรรคเพื่อไทย งอกขึ้นมามาก เท่ากับที่คาดหวัง ได้มา 5 เสียง จาก 29 สะใจเนาะ พี่น้อง แล้วแถม ใน 5 เสียง คืออะไรก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า เป็นอย่างนี้ เราไม่ได้เยาะเย้ยใคร

เหตุการณ์แบบนี้ ถ้าดิฉันเป็น นายกรัฐมนตรี และเป็น คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ดิฉันคงจัดการกับ ตำรวจ ให้เสร็จ ในเร็ววัน จัดการ รัฐตำรวจ ที่ใช้อำนาจ เหนือ กฎหมาย อย่าไปเงื้อง่าราคาแพง อย่าไปมัว แต่จัดการ แล้วไม่จัดการ ซักที

เดี๋ยวก็เหมือนรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ หมดเวลาครบเทอมไป ยังจัดการกับ อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ที่ตำรวจบางคน ใช้เนี้ย ไม่ได้ อันนี้คือ สิ่งที่ฝากไว้ อันที่หนึ่ง

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนะ พูดเรื่องรัฐบาลนะ ก็เลยจะลามไปถึง เรื่องที่เราพูดกันในนี้ มันจะก้าวต่อไปของเรา จะทำอย่างไร แล้ว รัฐบาล จะทำอย่างไร ด้วย เพราะมันคาบเกี่ยว ซึ่งกันและกัน สถานการณ์เนี้ยมันวางใจไม่ได้เลย

พรุ่งนี้จะมีการอนุมัติ งบประมาณว่ากลางปีไหม ใช่หรือเปล่าไม่ทราบ เอาเป็นว่า งบประมาณจำนวนมาก นะคะ ในวันพรุ่งนี้ การประชุม ครม. เพราะฉะนั้นเนี้ย จะทำอย่างไร เงินทุกบาททุกสตางค์ มันถึงจะเป็นผล

เมื่อกี้ตอนหัวค่ำได้ฟัง ท่านรองนายกรัฐมนตรี คุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ คุยกับท่าน อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ รู้ทันประเทศไทย ปรากฏว่า ดิฉันฟังไปก็เอ๊ะ สิ่งหนึ่งที่เห็นอยู่เสมอ ก็คือเวลาที่ จัดอบรม หรือ จัดเงินให้กับการ จ้างคนเพื่อไม่ให้ว่างงานเนี้ย กองทุน SIP ก็ดี อะไรก็ดีเนี้ย สิ่งหนึ่งที่ ดิฉันเคยร่วม และ ก็เคยเห็น เวลาจัดเงินแบบนี้ออกไปเนี้ย การให้ความรู้ประชาชน ทางการเมือง ไม่มีพี่น้อง

เมื่อกี้ก็เลย ถือโอกาสแว้บเข้าไปเสนอ ท่านรองนายกฯ นะคะ พูดตรงไปตรงมาเลย บอกว่า ท่านรองนายกฯ ที่ท่านพูดมาเนี้ย ดีหมดเลย จะจัดเศรษฐกิจ แบบนู้น แบบนี้ จะให้คนที่ว่างงาน มีงานทำ อย่างน้อย 4 เดือน ต่อปีนะคะ จบใหม่ๆ มีงานทำ แต่ถ้าไม่ติดอาวุธ ความคิด เหมือน พันธมิตรฯ เราไม่ได้ให้เลือกสี เหมือนเรานะ แต่หมายถึงว่าติดอาวุธ ความคิดว่า คุณกับการเมืองเนี้ย มันแยกกันไม่ออก คุณจะต้องทำอย่างไร ทำให้การเมืองเนี้ย ในการทำให้ชีวิตเราดีขึ้นมาได้ ก็คือต้องทำให้ กระบวนการเลือกตั้ง เข้าสู้อำนาจสุจริต โปร่งใส และ เที่ยงธรรม นั่นเองนะคะ

ก็เลยมาสรุปตบท้ายของพวกเรา ว่าก้าวต่อไปของประชาชนเนี้ย ควรจะเป็นอย่างไร ดิฉันใช้ 6 ต. นะคะ ก็เราไหนก็เป็น นักรบมือตบ แล้วนะ ก็เอา ต. เต่า นี่หละ เป็นเงื่อนไขนะคะ แต่ไม่ใช่คลาน แบบเต่าไปช้าๆ ไม่ใช่นะคะ เราจะเอาจริงเอาจัง อย่างไร

อันดับแรกเลยคะ เราต้องตื่นตัว ตื่นรู้ อยู่เสมอ ซึ่งข้อนี้เรามี เราจะต้องติดตามข่าวสารนะคะ เติมอาวุธทางปัญญาของเรา เพื่อให้เรา ตื่นรู้ รู้ทันข่าวสารตลอดเวลา แล้วเอาข่าวสารอันนี้เนี้ยมาใช้กับพวกเรานะคะ

อันที่สอง เราจะต้องตั้งกลุ่ม คือเมื่อติดตาม ตื่นตัวแล้วนะคะ ติดตามข่าวสารแล้วเนี้ย อย่างเมื่อกี้ ดิฉันพูดไป เรื่องของ ท่านนายกฯ กับ ตำรวจ ใช่ไหมคะ มันบ่งบอกถึงอะไร

เรื่อง เสื้อแดง จะไปคัดค้าน ประท้วง การประชุมสุดยอด อาเซียน เราตามแล้ว เราคิดว่า เราจะทำอะไรต่อไป นะคะ ก็มาถึงเรื่อง ตั้งกลุ่ม วันนี้ พันธมิตรฯ เราเยอะ แล้วก็มา ชุมนุมเมื่อไหร่ เห็นบอกว่า คอนเสิร์ต ที่วันที่ 17 ใช่ไหมคะ 8 หมื่นใบนะ ขายตั๋วไม่ทราบ หมดหรือยัง แต่ทราบว่า มีรับประกัน การขายตั๋ว เรียบร้อยแล้ว อันนี้อันที่หนึ่ง

อันที่สอง 31 มกราคม จะมีคอนเสิร์ตอยู่ที่ สระบุรี ว่าอย่างนั้น แต่คอนเสิร์ตที่สระบุรี จะน้อยลงมาหน่อย ก็คือ ประมาณ 3 หมื่น ที่ชลบุรี เนี้ย ใครอย่าไปท้า แชมป์เขานะคะ เขาบอกว่า ถ้าใครเนี้ยจังหวัดใดจัดได้ เกิน 8 หมื่น เขาจะจัดใหม่ ให้ยิ่งใหญ่กว่าจังหวัด ที่จัดไปแล้ว

สมมตินะคะ สระบุรี ขายได้ 9 หมื่น เขาบอก ของเขาต้องขาย แสนใบ แบบนี้คะ อันนี้ก็เป็นเรื่อง ที่ไม่ได้แข่งกันด้วยเงิน ไม่ได้แข่งกัน ด้วยอย่างอื่น แต่แข่งกันด้วย การรวมพลังของพวกเรา

แต่ดิฉัน มองว่าแค่เรามารวมกันเยอะๆ ในแต่ละครั้ง ไม่พอคะพี่น้อง อยากจะขอให้ ตั้งกลุ่มจริงๆ นะคะ ตั้งกลุ่มทำงาน กระชับความสัมพันธ์ ของเรา ให้แน่นแฟ้น เรามีเพื่อนใช่ไหมคะ เนี้ยมานั่งๆ กันเนี้ย มีเพื่อนเนี้ย ถามว่า รู้จักกันหมดหรือยัง รู้จักกันหมดแล้ว ใครที่ถูกอัธยาศัยกันเนี้ย ไปตั้งกลุ่ม รวมกันนะคะ ตั้งแต่กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย ไปจนถึง ต่อยอด

ต. ที่ 3 ก็คือ ต่อยอด ข้อที่สามก็คือ ต่อยอด ต่อยอด คืออะไร ติดต่อสัมพันธ์กัน อย่างใกล้ชิด โทรศัพท์หากันบ้างว่า เออตอนนี้ลูกแต่งงานนะ ลูกบวชนะ หลานโกนผม โกนผมลูก หลาน อะไรอย่างเนี้ย เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วเนอะ แต่ก่อนนี้มี 1 เดือน เอาเป็นว่า ก็รับขวัญหลาน อะไรก็แล้วแต่เนี้ย หรือ งานบุญ งานบวช อยากบอกกันก็บอกกัน ติดต่อสัมพันธ์กัน อย่างใกล้ชิด และแน่นแฟ้น เพื่อที่จะอะไร สร้างเครือข่าย ที่จะทำงาน ร่วมกัน เป็นกลุ่มๆ นะคะ อันนี้ก็คือเรื่อง ที่อยากจะบอกว่า ขยายตัว พร้อมกับทั้ง ด้านปริมาณ และ คุณภาพนะคะ เพื่อที่จะทำให้ งานของเรา เดินหน้า ต่อไปได้ เอาละคะ ต่อยอดแล้ว จะไปอะไรต่อ ไปตรวจสอบ

ต.ที่ 4 ตรวจสอบ อะไรนะคะ ตรวจสอบ เรื่องของรัฐบาล เอ๊ะจะไปใช้จ่ายเงินอย่างไร ตอนนี้หน้าหนาว ภัยหนาว ประกาศภัยหนาว กรมป้องกัน และ บรรเทาสาธารณภัย หรือ เรียกกันย่อๆ ว่า ปภ. อนุมัติงบประมาณ ซื้อผ้าห่มแจกให้กับ ประชาชน ปีนี้ 1 ล้านผืน และ อาจจะเพิ่มเติมได้ ตามความจำเป็น ของแต่ละพื้นที่ ช่วยกันดูหน่อยนะคะ ซื้อได้สเปกไหม ราคาถูกหรือว่า ใครไปกินสินบน อยู่ตรงไหน หรือ เปล่านะคะ ข้าราชการคนไหน เรียกเปอร์เซ็นต์ไหม มาบอกเบาะแสกันหน่อย นี่ก็คือเรื่องของ การตรวจสอบ

ในขณะเดียวกัน ตรวจสอบรัฐบาลแล้ว ก็มาตรวจสอบ ต่อซิว่า พรรคการเมือง เนี้ยนะคะ ที่เป็นรัฐบาลก็ดี ที่เป็นฝ่ายค้านก็ดีเนี้ย ทำอะไรผิดๆ บ้าง สุดท้าย ก็คือ ดูนักการเมืองนี้ละ ว่าเขากินเงินเดือนภาษีเรา เขาจะไปทำอะไรให้เราบ้าง หรือ จะเปิดสภา อยู่ไม่นานนี้ ประกาศมาแล้ว งานจะเข้า พันธมิตร อีกหรือเปล่านะ ก็เลยมาในเรื่องของการ

ข้อ 5 เตรียมพร้อม ทราบแล้วใช่ไหมคะ จะเปิดสภาเมื่อไหร่ 21 มกราคม ทราบ หรือยังคะ ว่าจะมีอะไร พลพรรคของ เพื่อไทย เขาจะทำอะไร ทราบกันยังคะ พี่น้อง ในห้องส่ง เขาจะไปสภา นั่นแหละ เขาจะทำอะไร ในสภา เขาจะเสนอ แก้ไขรัฐธรรมนูญ เสนอแก้ไขแบบไหน

ถ้าเสนอแก้ไข โดยมีหลักการ ที่ไม่แตะผลประโยชน์ ของตนเอง และ พวกพ้อง อันนี้เราอาจจะยอมฟัง แต่นี่ละคะ คือการเตรียมพร้อม ของเรา พร้อมตลอดเวลา มาเมื่อไหร่ไปเมื่อนั้น เกิดว่าเอาละ 309 รื้อฟื้น ป.ป.ช. ล้ม คตส. ที่ทำมาในอดีต ยกเลิกทั้งหมด แบบนี้ท่านเอาไหมคะ คือเตรียมพร้อม จะรุกตลอดเวลา นั่นเอง

สุดท้าย ต่อสู้ต่อไป เป็น ต.ที่ 6 สู้ต่อไป วันนี้สู้อะไร ท่านอาจจะบอกว่า รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรผิด เราให้กำลังใจรัฐบาล อยู่นะตอนนี้ ดิฉันก็แอบลุ้น ช่วยเกือบตลอดเวลา เมื่อไหร่จะติดอาวุธ ทางความคิด ให้ประชาชน เมื่อไหร่จะขยายฐาน การเรียนรู้ของประชาชน

เมื่อไหร่ จะตั้งศูนย์เรียนรู้ ทางการเมือง อะไรประเภทนี้ ลุ้นตลอดเวลาเลย แต่พี่น้อง การต่อสู้ต่อไปของเรา ไม่ใช่สู้กับ รัฐบาล เท่านั้น สู้กับ ตัวเราเอง ด้วย สู้ร่วมสร้างการเมืองใหม่ ก็คือ การสู้ต่อไป ของเรานั่นเอง คือสิ่งสุดท้าย ที่เราทำมาแล้ว และ เราจะทำต่อไป เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ ของพี่น้องเรา วีรชน ที่เสียทั้งเลือดเนื้อ ชีวิต เสียอวัยวะ และ ที่สำคัญ เราสูญเสียเงินทองไปมหาศาลแล้ว อย่าให้มันเสียเปล่า นี่คือสิ่งที่ก้าวต่อไป ของพวกเรา ที่ดิฉันใช้ว่า 6 ต. ไหนๆ ก็มือตบ แล้ว ก็ 6 ต.ซะเลย

สุดท้ายปิดที่กลอนเช่นเคย สำหรับวันนี้ ขอกลอนแบบ รำลึกความหวัง แล้วก็จะเดินหน้าต่อไป

“สงครามกู้ชาติ 2551 จักตราตรึง ประวัติศาสตร์ ครั้งยิ่งใหญ่
พันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย รวมพลังประชาไทย กู้แผ่นดิน
193 วันการต่อสู้ ศัตรูร้าย ระบอบทักษิณอันตราย จึงจบสิ้น”

จบรึยังไม่รู้ เอาเป็นว่าจบชั่วคราว ก็ได้นะ
“รัฐบาลหุ่นเชิดมารทมิฬ ต้องพังพิณพินาศยับ แตกดับไป” อันนี้จริงนะคะ
“ด้วยพลังยืนหยัด อย่างหาญกล้า
ยอมหลั่งเลือดพลีชีวาอุทิศให้
การต่อสู้ประชาชนจึงกำชัย
ขอเทิดไว้วีรกรรมนักรบ มือตบ เอย”

ขอบพระคุณทุกท่านคะวันนี้ ลืมเอามาจากกระเป๋า ก็เลยไม่ได้สนุกกับท่านด้วย เอาเป็นว่า วันที่ 17 นี้ ที่ จ.ชลบุรี ดิฉันกับทีมงาน ได้เรียบเรียง ย่อ 193 วัน และ สรุปผลสำเร็จ

รวมทั้งมี ภาคพิเศษ สรุปคดีของคุณทักษิณ อยู่ในหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า นักรบมือตบ 2551 ได้รับการสนับสนุน การจัดพิมพ์จาก ซ้อแปด ก็มีแจกอยู่ จำนวนหนึ่ง ที่เหลือ ไม่ใช่ ซ้อเจ็ด แน่ๆ คือเขาไม่อยากให้ รู้ชื่อเขา เขาบอกว่า ซ้อแปด ที่เหลือ ซ้อแปด บอกว่าจะแจกที่ชลบุรี น้อยหน่อย คนชล กับ พวกเรารับน้อยหน่อยก็ได้ แต่อยากจะให้ทุกเล่ม ซึ่งจัดพิมพ์ทั้งหมด 20,000 เล่ม ไปถึงพี่น้องประชาชน ทางภาคอีสาน ขอกราบขอบพระคุณ ซ้อแปด ไว้ในที่นี้ ที่คิดถึง พวกเราทางอีสาน และขอบคุณพี่น้องทุกคน ที่ตั้งใจฟัง สวัสดีค่ะ

พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย (12/01/52) ช่วงที่ 2


สโรชา – กลับเข้าสู่ รายการ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย นะคะ เมื่อสักครู่นี้มี พ่อแม่พี่น้อง ทางบ้าน SMS มาแซว บอกว่า คุณสโรชา คงจะเสียใจมากนะที่ ปลื้ม สอบตก ลงชื่อว่า พันธมิตรฯ ขี้เล่น คะ
552000000364810
เสียใจคะ เสียใจจริง เสียใจจนน้ำตา เกือบไหลแน่ะ สงสารปลื้ม เพื่อนยาก ไม่น่าคิดเลยว่า เพื่อนจะได้การไว้วางใจจาก ชาวกรุงเทพมหานคร เพื่อนพยายาม ไปเรื่อยๆนะ เดี๋ยวเราคงจะได้เห็นกัน แต่ว่า เขาคงภูมิใจนะ คงภูมิใจใน 3 แสนคะแนน ของเขา คิดว่าเขาคงจะเดินหน้า แล้วก็คงจะ พยายามสร้างฐานเสียง เพื่อที่จะลง ส.ส. อย่างน้อยที่สุด ก็คงสร้างคะแนนให้กับ พรรคการเมือง ที่จะมาทาบทามเขาไปลง ส.ส. ได้ ในระดับหนึ่ง นะคะ

เดี๋ยวเรามาดู กำหนดการของ พันธมิตรฯ กันก่อนดีกว่า เดี๋ยว วันพุธที่ 14 มกราคมนี้ จะมีการพบปะสังสรรค์กัน ของ พันธมิตรฯ ชะอำ นะคะ ก็สามารถ ที่จะไปรวมตัวกันได้ แต่ว่าเข้าใจว่า พี่เขาไม่ได้เขียนสถานที่ มานะพี่นะ

ขอเชิญ พันธมิตรฯ หัวหิน ปราณฯ และ ประจวบฯ ทุกท่านนะคะ มาร่วมงาน แต่ว่าไม่ได้บอกสถานที่ไว้ บอกเพียงแค่ว่า จะเจอกันในวันที่ 14 มกราคม นี้นะคะ

ส่วนในวันที่ 20 คะ วันที่ 20 เทศบาล เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะมี การจัดงานคอนเสิร์ต ร้อยเกาะ ย่างก้าวสู่ การเมืองใหม่ ในวันที่ 20 มกราคม เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป บริเวณท่าเทียบเรือ เทศบาลเกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบกับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล นะคะไป คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข คุณมาลีรัตน์ แก้วก่า คุณตั้ม คุณเสน่ห์ คุณอำนาจ คุณแอน จินดารัตน์นะคะ วงกากบาท คุณหรั่ง ร็อคเคสตร้า และ น้องจอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชคนะคะ ไปงานนี้ด้วย

เดินทางโดย เรือราชาเฟอรี่นะคะ ณ ท่าเทียบเรือ อ.ดอนศักดิ์ เรือออก 08.00 น. 10.00 น. และ 14.00 น. นะคะ ค่าใช้จ่าย คนละ 220 บาท แต่ว่า เข้าไปในงานแล้ว ฟรีตลอดทั้งงานนะคะ นำเพียงเต็นท์ ไปนอนริมทะเล แค่นั้น ก็พอแล้ว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ด้วยที่ ได้ที่

คุณบรรจิต นะคะ 080 534 6068 คุณกาญจน์คะ 081 676 8364 และ คุณทวีศักดิ์ 081 677 7455 สำหรับ พันธมิตรฯ ชาวเกาะพะงัน นะคะ ไปรวมตัว กันได้นะคะ

นอกจากนี้แล้ว พันธมิตรฯ นครปฐม คะ จัดงานสังสรรค์ปีใหม่ เมื่อ วันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมานะคะ มอบเงินให้ ASTV เป็นเงิน 17,560 บาท นะคะ ฝากมาทาง พี่ศิริชัย ไม้งาม ขอบพระคุณมาก นะคะ

นอกจากนี้แล้ว คุณนิพนธ์ วาสนาส่ง นะคะ จากแอลเอคะ มอบให้ ASTV 100 ดอลลาร์สหรัฐ นะคะ คุณมาลัย สุรวัฒนาวรรณ มอบให้ ASTV เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ นะคะ ขอบพระคุณมาก นะคะ

นอกจากนี้แล้วยังมี คุณสิทธิ์ และคุณสุมาลี รัตนภูมิ พันธมิตรฯเฟรสโน แคลิฟอร์เนีย บริจาคให้ ASTV 1 หมื่นบาท และ บริจาคให้ พี่วีระ สมความคิด 5 พันบาท นะคะ และก็มี คุณสุพรนะคะ ประภาศุตินะคะ ได้ส่งใบเปย์อินมาให้แอ้มนะคะ เป็นเงิน 1 พันบาท ได้รับเรียบร้อยแล้ว ขอบพระคุณคะ ขอบพระคุณทุกท่าน เลยนะคะ

แล้วก็อย่าลืมติดตาม กำหนดการต่างๆ ของ พันธมิตร เรา เราจะมีตลอดระยะเวลาช่วงเดือน มกราคมถึง เดือนกุมภาฯ ตอนนี้ เลยไปถึง ต้นเดือน มีนาคม แล้วนะคะ เพราะฉะนั้น ติดตามดีๆ ส่วนเรา จะไปจังหวัดไหน เดี๋ยวเราจะเรียนให้ พ่อแม่พี่น้อง ทราบกัน

สั้นๆ ก่อนเราจะไปพบกับ วิทยากร ท่านต่อไปนะคะ เพราะว่าเป็น ข่าวดีของประเทศไทย ในยามที่ 2551 ที่เรา ชุมนุมประท้วงกัน เขากล่าวหาเรา ต่างๆนาๆ ว่า เราทำให้ภาพลักษณ์ ของประเทศไทย ในสายตาของ คนต่างชาติเนี้ย เสียไป ท่องเที่ยว ทรุดโทรมต่างๆ นานา ไปดูที่ นิวยอร์กไทม์ ไปดูเว็บไซต์ของ นิวยอร์กไทม์ นิวยอร์กไทม์ ในทุกๆปี เขาจะมี การจัดอันดับสถานที่ ที่น่าเที่ยวมากที่สุด ในรอบปี

ปีนี้ 44 แห่ง ที่ควรจะต้องไป ปี 2009 มีหลายต่อหลายสถานที่จริงๆ ภูเก็ต ของเรา ติดอันดับที่ 12 ในหมวดทั่วไป นะคะ แต่คลิกเข้าไปใน ภูเก็ต จะเห็นว่าเป็น อันดับหนึ่ง ของสถานที่ หรือว่าแหล่งที่พัก ของชนชั้นกลางถึงสูง คือหมายความว่า ถ้าเกิดไป มีสตางค์หน่อย อยากจะไปใน สถานที่ที่สวย และได้รับความสะดวกสบาย สถานที่ที่ควรจะไปคือ ภูเก็ตนะคะ เพราะว่าในยามนี้ สิ่งที่ควรจะหากันมากที่สุด ก็คือ สิ่งที่สวยงาม บรรยากาศที่ดี บริการที่เยี่ยม เพราะฉะนั้นเนี้ย ภูเก็ตถือว่า ติดอันดับ 12 ของโลก

แต่อันดับหนึ่งในส่วน ของ Luxury Destination ที่ฝรั่ง เขาเรียกกัน เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ ทั้งชาวภูเก็ตเอง และ ชาวไทยเอง ไม่ได้ บอกว่า พันธมิตรฯ ทำให้เสียบรรยากาศนะ บอกว่าเขาไม่ท่องเที่ยวกันนี่ไม่จริง เพราะว่า นิวยอร์กไทม์ 44 สถานที่ ที่ควรจะต้องไป ในปี 2009 ให้ได้ ของเรา ติดอันดับต้นๆ เลยนะคะ

บรรยากาศของ การเลือกตั้ง แน่นอนว่า คงจะมีเสียง วิพากษ์วิจารณ์ กัน และ ก็มีการตั้งข้อสังเกต หลายต่อหลายประการ จริงๆ คงต้องไปถามท่าน ผู้นี้นะคะ คุณไทกร พลสุวรรณ คะ ขอบพระคุณค่ะ ที่มาร่วมรายการ สวัสดีคะ พี่ไทกร เชิญพี่ไทกร คะ

ไทกร – สวัสดีครับ ครับ พี่น้องประชาชน ผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกท่านครับ ทั้งที่อยู่ในห้องส่ง และที่อยู่ทางบ้าน พี่น้องคงทราบแล้วว่า วันนี้ ผลการเลือกตั้งซ่อม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 29 คน

ได้สะท้อนให้เห็นว่า วันนี้สภาพของ ระบอบทักษิณ น่าจะเป็นการยืนอยู่ในแนวการต่อสู้ ในวิถีทาง ที่บอกว่า สุดท้ายแล้ว สุดท้ายที่ต้องบอก ก็คือว่า วันนี้ หากระบอบทักษิณ ยังใช้วิธีการที่จะเดินไปสู่ การสร้างความขัดแย้งที่รุนแรง ในประเทศ เชื่อว่า พี่น้องประชาชน ซึ่งมีความคิด มีจิตสำนึก ในการรักชาติ บ้านเมือง และ จงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ จะหลีกหนีจาก พรรคการเมือง ที่เป็นนอมินีของ ทักษิณ ชินวัตร และ วันนั้น จุดจบ ของ ระบอบทักษิณ ก็จะมาถึง

แต่พี่น้องประชาชน ที่เคารพครับ วันนี้ต้องมาบอกว่าสิ่งที่ วอร์รูมพรรคเพื่อไทย หรือ พรรคพลังประชาชน เดิม พูดง่ายๆ คือนักการเมืองใน ระบอบ ทักษิณ ได้วิเคราะห์แล้วก็ หาเหตุ หาผล เพื่อที่จะมาเปลี่ยนแปลง แล้วจะนำการเมืองไปสู่ชัยชนะของ ระบอบทักษิณนั้น เขาได้มองอย่างนี้ครับ พี่น้องครับ เขาได้มองว่า มีการต่อสู้กันในหลายพื้นที่ และ

บางพื้นที่ พรรคเพื่อไทย ของเขา ก็ยังเกาะติดกระแส และ พี่น้องประชาชน ในพื้นที่นั้น ยังพร้อมที่จะ เลือกผู้สมัครจาก ระบอบทักษิณ บางพื้นที่ เช่น จ.ลำพูน จ.สมุทรปราการ จ.สิงห์บุรี หรือ จ.ลพบุรี หรือแม้กระทั่ง นครปฐม ราชบุรี คนเหล่านี้ ได้แสดงออก อย่างชัดเจนว่า วันนี้พี่น้องประชาชน ที่ได้รับรู้ ข่าวสารข้อมูล โดยเฉพาะผ่าน ASTV นั้น ได้ตัดสินอย่างชัดเจน แล้วว่า ระบอบทักษิณ เป็นระบอบ ที่อันตรายต่อประเทศ

พี่น้องที่เคารพ ทั้งหลายครับ วันนี้เรามาพูดถึง สาเหตุว่า ทำไม พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นนอมินี ล่าสุดของ ระบอบทักษิณ จึงอยู่ในสถานการณ์ ที่ อ่อนแอ ทางการเมือง จะล้มแหล่ มิล้มแหล่ วันนี้พี่น้องครับ มีเหตุผลหลักๆ อยู่ 5 ประการ

ประการที่ 1.ขณะนี้ใน พรรคเพื่อไทย ไม่มีเอกภาพ คำว่า ไม่มีเอกภาพนั้น หมายถึงว่า ผู้นำทางการเมือง ส.ส. ในพรรคเพื่อไทย ทั้งกลุ่มก๊วนต่างๆ แตกแยกกัน อย่างมาก หลังจากที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง การเชื่อมต่อระหว่าง ตระกูลชินวัตร กับนักการเมือง นั้นได้ขาดไป เพราะไม่มี เนื้อแท้ตัวจริง ของ ตระกูลชินวัตร อยู่ในพรรคเพื่อไทย จะมี ก็เพียงคนที่จะพยายามปลุกปั้น แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ 2 คน

1. คือ พล.อ. ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ไม่มีเสน่ห์ ทางการเมือง และ ไม่มีความคิดความอ่าน ทางการเมือง ติดการใช้ความรุนแรง ในการต่อสู้ ทางการเมือง

คนที่ 2 น้องสาวคนสุดท้อง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังอ่อนพรรษา ทางการเมือง และ การจะขึ้นเป็น ผู้นำระดับชาติ นั้น ค่อนข้างที่จะมี ปัญหา เนื่องจากว่า ไม่มีประสบการณ์ ในการบริหาร และ ไม่มีประสบการณ์ ทางการเมือง อาจจะถูกนักการเมือง ที่แวดล้อมทำลายได้ นี่คือสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีในขณะนี้ นั่นคือ เนื้อแท้ตัวจริง เมื่อไม่มีเนื้อแท้ตัวจริงของ ตระกูลชินวัตร ในพรรคเพื่อไทย จึงเกิดการ แย่งชิงอำนาจกัน อย่างมาก ทำให้เกิด ความแตกแยกอย่างหนัก ในพรรคเพื่อไทย

ประการที่ 2 นั่น ก็คือ บทบาทการชิงอำนาจ ได้ตกมาอยู่ที่ ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ขณะนี้ ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ได้พยายามจะเข้ามาเป็น ผู้นำของ พรรคเพื่อไทย ภาษาทางการเมือง บอกว่า ขณะนี้ ดร.เฉลิม กำลังชิงการนำ เพื่อที่จะดึงพลังของ ผู้แทนราษฎร และ กลุ่มมวลชนเสื้อแดง ทั้งหมด ให้มาขึ้นอยู่กับ เฉลิม เพื่อ เฉลิม จะได้ไปบอกกับ ทักษิณ ชินวัตร ว่า เขาพร้อมจะเป็นตัวแทนของ ทักษิณ และ จะบริหารประเทศ และ จะช่วย ทักษิณ ในการหลุดคดี นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อ เฉลิม ชิงการนำ ก็เกิดเหตุ ประการที่ 3

ประการที่ 3 ก็คือว่า มีกลุ่มคนใน พรรคเพื่อไทย หลายกลุ่มไม่ยอมรับ เฉลิม ได้สะท้อน ตั้งแต่ความคิด หลังจากที่ พรรคพลังประชาชน ถูกยุบ ผู้แทนราษฎร หลายคน ถูกตัดสิทธิ์ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกตัดสิทธิ์ ทางการเมือง วันนั้น มีการเสนอชื่อ เฉลิม อยู่บำรุง ให้เป็นตัวแทน ของ พรรคเพื่อไทย เพื่อจะให้ ส.ส. โหวต เป็นนายกรัฐมนตรี

พี่น้องครับ หลังจากปรากฏชื่อ เฉลิม แล้ว พี่น้องเห็นอะไรไหม การต่อต้าน ในพรรค ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอีสานพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใกล้ชิดของ คุณนาย แดง ไม่ว่าจะเป็น พรรคร่วม นอกพรรคอย่าง เสนาะ เทียนทอง

ท่านเสนาะ เทียนทอง ออกมาค้าน เฉลิม ว่า เอา เฉลิม มาเป็นนายกฯ เหมือนจุดไฟเผาบ้าน นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่พี่น้องครับ เฉลิม อยู่บำรุง ก็คือ เฉลิม อยู่บำรุง

เฉลิม อยู่บำรุง ก็มองกวาดสายตาไปทั่ว พรรคเพื่อไทย ไม่มีใครจะแข็งกว่า เฉลิม นี่หว่า เฉลิม จึงรุกอย่างหนัก เพื่อจะชิงการนำ ทั้งหมด การนำ ทางการเมือง การนำด้านมวลชน ให้มาอยู่กับ เฉลิมคนเดียว พี่น้องเห็นภาพ เฉลิม อยู่บำรุง เดินทางไปที่ อุดรฯ เดินทางไปที่ นครพนม เดินทางไปที่ มหาสารคาม เดินทางไปที่ ร้อยเอ็ด เสียดายอย่างเดียวครับ เฉลิมไม่ไป ประโคนชัย บุรีรัมย์ ไม่อย่างนั้น เฉลิม จะได้ลิ้มรสไข่ ของพวกเสื้อแดง เหมือนกันครับ พี่น้องครับ นี่คือสิ่งที่ เฉลิม ได้แสดงภาพ การนำทางการเมือง นี่คือสิ่งที่ เฉลิม ได้แสดงภาพการนำทางการเมืองใน พรรคเพื่อไทย

พี่น้องครับ เมื่อเป็นอย่างนี้จึงเกิด ข้อขัดแย้ง ประการที่ 4 ขึ้น นั่นก็คือ กลุ่มที่ไม่ยอมรับ บทบาทของ เฉลิม อยู่บำรุง ในการขึ้นมาเป็น ผู้นำ พรรค เพื่อไทย ได้เริ่มแยกตัวออกมา อย่างชัดเจน สิ่งที่เห็นวันนี้ การชุมนุมของ กลุ่มแกนนำเสื้อแดง บางกลุ่มโดย นายสมยศ ได้สะท้อน ให้เห็นชัดเจน ว่า

ขณะนี้ ได้เกิดกระบวนการ ต่อต้าน เฉลิม ในพรรคเพื่อไทย อย่างชัดเจน แล้วครับพี่น้อง นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น ผมจะแยกแยะ กำลังของ ฝ่ายเฉลิม และ ฝ่ายที่ไม่เอาเฉลิม อย่างเท่าๆ ให้พี่น้องได้รับทราบ

กลุ่มที่หนุน เฉลิม อยู่บำรุง ชัดเจน ก็คือ กลุ่มสามเกลอหัวขวด ไม่ว่าจะเป็น จตุพร พรหมพันธุ์, วีระ มุสิกพงศ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลุ่มนี้ กลุ่มความจริงวันนี้ พร้อมทุ่มเทชีวิต พร้อมทุ่มเท จิตวิญญาณรับใช้ เฉลิม สุดหัวจิตหัวใจ เมื่อได้ กลุ่มความจริงวันนี้ มาแล้ว ก็เหลือมวลชน พี่น้องจะเห็น เสื้อแดงแตก เสื้อแดงสาย ความจริงวันนี้ จะสนับสนุนเฉลิม เฉลิมจะไปดึง กลุ่มเก่าของเนวิน ชิดชอบ มาเป็นพวก เช่น ขวัญชัย ไพรพนา เช่นกลุ่มที่อยู่ จ.ขอนแก่น คาราวานคนจน เดิม เฉลิม จะกวาดมาเป็นพวก มวลชน จัดตั้งที่ คุณสุดารัตน์ ได้ทำ ไม่ว่าจะเป็น แถวบางโพ ไม่ว่าจะ แถวหลังโรงแรมเอเชีย ไม่ว่าจะอยู่ที่ คลองเตย

เฉลิม จะกวาดพวกนี้มาเพื่อเป็น ฐานมวลชนเสื้อแดง ให้กับ พรรคเพื่อไทย กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับ เฉลิม ชัดเจนครับ ต้องมี ยงยุทธ ติยะไพรัช ต้องมี พงศ์เทพ เทพกาญจนา คนเหล่านี้ เขามองว่า เฉลิม จะนำมรดกของ ทักษิณ ชินวัตร ไปปู้ยี่ปู้ยำ แล้วเขาสรุปว่าวันใดที่ ทักษิณ เชื่อ เฉลิม วันนั้น ลูกคนใหม่ ของทักษิณ ต้องออกเป็น ลิง แน่นอน เพราะยังไง เฉลิม ต้องหักหลัง ทักษิณ

กลุ่มนี้เลยตั้งก๊วนขึ้นมาโดยมี ส.ส.บางส่วน จากภาคอีสาน เช่น กลุ่มอีสานพัฒนา ซึ่งเป็นกลุ่ม ที่ต่อสู้หลัก กับ กลุ่มเนวิน เข้ามาร่วมกับกลุ่มนี้ เพื่อต่อต้าน เฉลิม

กลุ่มคนรักแท็กซี่ ของ คุณชินวัฒน์ หาบุญพาด ที่ยกพวกมาทำร้ายพันธมิตรฯ บริเวณปากซอยวิภาวดี 3 กลุ่มนี้จะเข้ามา กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กลุ่มนิวัฒน์พลเมือง ซึ่งเป็นกลุ่ม ที่ต่อต้านการยึดอำนาจของ คมช. ในอดีต กลุ่มนี้จะเข้ามาร่วมกับ สายเสื้อแดง สายนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ สายเสื้อแดง สายนี้ จะเป็นคนเชื่อมั่นใน ลัทธิคอมมิวนิสต์ เชื่อมั่นใน ลัทธิมาร์กซิสม์ หรือเชื่อมั่นใน ลัทธิเหมาอีสม์ เรียกว่า มวลชนแดงฝ่ายซ้าย กลุ่มเหล่านี้ จะตั้งป้อม และ จะต่อสู้กับ เฉลิม อย่างเต็มรูปแบบ

การเดิมเกม ของ 2 กลุ่ม ก็ต่างกัน กลุ่ม เฉลิม อยู่บำรุง จะเดินเกมทุกอย่าง เพื่อที่จะโค่นล้ม พรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยใช้ กลไก การทำลายใน สภาผู้แทนราษฎร โดยมี มวลชนเสื้อแดง ซึ่งอยู่ใน สายความจริงวันนี้ ชุมนุม เพื่อสร้างความชอบธรรม ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ นิยมความรุนแรง และ กลุ่มนี้เป็นกลุ่ม ที่ต้องการให้ เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง มากกว่า การเปลี่ยนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็น รัฐบาล ของ พรรคเพื่อไทย กลุ่มนี้ จึงได้ยื่นเงื่อนไขสำคัญ ที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ในสังคม เงื่อนไขอะไรครับ เงื่อนไข คือให้

แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เขายื่นเงื่อนไข เพื่อต้องการให้ แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะว่า กลุ่มเหล่านี้ ต้องการให้เกิด วิกฤตทางการเมือง กลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะในสมองเหล่านี้ เขาคิดว่า หากวันใดที่กดดันให้ รัฐบาลรับร่างรัฐธรรมนูญ รับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าไปบรรจุไว้ พี่น้องพันธมิตรฯ ของเรา ต้องออกมา ชุมนุมคัดค้าน

พี่น้องที่เคารพ เห็นไหมว่า ขณะนี้การเมืองใน พรรคเพื่อไทย นั้นเป็นการเมือง ที่ต่อสู้กันเอง ภายใน แล้วพี่น้องรู้ไหมว่า คณะกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไปอยู่ที่ไหน วันนี้เราแทบไม่เห็น บทบาทของ ผู้นำของ เพื่อไทย เลย

หัวหน้าพรรครู้แต่ว่าชื่อ ยงยุทธ แต่ไม่รู้ว่า ยงยุทธ วิชัยดิษฐ คนนี้ มีความคิดอ่านทางการเมือง อย่างไร ยงยุทธ วิชัยดิษฐ คนนี้ จะนำพาประเทศชาติ จะมีนโยบาย จะมีวิสัยทัศน์ ทางการเมือง หรือ มีความกล้าหาญ ทางการเมือง แบบไหน ไม่ปรากฏครับ

นั่นจึงสรุปว่า สถานภาพของ พรรคเพื่อไทย ปัจจุบัน ผู้นำพรรค หัวหน้าพรรค คณะกรรมการ บริหารพรรค แทบไม่มีความหมาย เพื่อที่จะมาเป็น ประโยชน์ ทางการเมืองของ ทักษิณ และ พรรคเพื่อไทย เลย ผมถึงบอกกับพี่น้องว่า ไม่นานครับ น่าจะเกิด การเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง ที่สำคัญใน พรรคเพื่อไทย

เพราะวันนี้หลังจากที่ เฉลิม พยายามจะชิงอำนาจจาก พรรคเพื่อไทย มีการติดต่อให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้ามาเป็น ที่ปรึกษา มีการพยายามดึง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ให้เข้ามาเป็น ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เพื่อที่จะกระชับ การนำของ เฉลิม ให้สูงขึ้น

พี่น้องครับ วันนี้มีการเดินงาน ทางการเมือง ที่สำคัญหลายอย่าง มีการเตรียมการ จะหักโค่น รัฐบาลอภิสิทธิ์ ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งซีกเสื้อแดงฝ่าย เฉลิม อยู่บำรุง เดินเกม เพื่อเตรียมการ อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีทั้งคณะ

ผมต้องบอก พี่น้องที่อยู่ที่นี่ และ ทางบ้านว่า วันนี้ใน คณะรัฐมนตรีนั้น มี รัฐมนตรี ที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด 23 คน เขาจะ สร้างกระแส ไม่ให้คน 23 คน ที่เป็น ส.ส. และเป็น รัฐมนตรี ในคราวเดียวกันนั้น ยกมือไว้วางใจ ตนเอง เมื่อถูกอภิปราย ไม่ไว้วางใจ ทางการเมือง

ขณะนี้ ฝ่ายกฎหมายของ พรรคเพื่อไทย กำลังนำ รัฐธรรมนูญ และ นำเจตนารมณ์ของ รัฐธรรมนูญ 2 ส่วน มาใช้ ให้เป็นประโยชน์ ทางการเมือง และ ใช้บิดเบือน โดยเฉพาะ รัฐธรรมนูญ ในส่วนที่ 2 เขาเรียกว่า

หมวดของ การกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ มาตรา 266 มาตรา 268 สองมาตรานี้ ฝ่ายกฎหมายของ พรรคเพื่อไทย กำลังจะโฆษณา ชวนเชื่อ ให้พี่น้องทั้งประเทศ เชื่อว่า การที่รัฐมนตรี ซึ่งเป็น ส.ส. ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ไม่สามารถยกมือไว้วางใจตัวเองได้ เพราะเป็น การกระทำ ซึ่งขัดกันแห่งผลประโยชน์ ในเจตนารมณ์ของ รัฐธรรมนูญ

แต่พี่น้องครับ รัฐธรรมนูญ เขียนไว้ว่า ต้องไม่ให้ตำแหน่ง ต้องไม่ใช้ตำแหน่ง ส.ส., ส.ว. หรือ นายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรี เข้าไป ก้าวก่ายแทรกแซง เพื่อประโยชน์ ของตนเอง ของ ผู้อื่น หรือของ พรรคการเมือง ไม่ว่าโดยตรง หรือ โดยอ้อม แต่เป็นการใช้ ในการ แต่งตั้งโยกย้าย ในการใช้ เข้าไปรับสัมปทาน ในการใช้ เข้าไป เพื่อบงการ รัฐวิสาหกิจ ไม่ได้เกี่ยวกับหมวดของ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ซึ่งผมจะบอก พี่น้องประชาชน ให้ทราบก่อน เพราะขณะนี้ ฝ่ายกฎหมายของ พรรคเพื่อไทย กำลังจะชี้ให้เห็นว่า การยกมือ เพื่อไว้วางใจตัวเอง ขัดมาตรา 266 ขัดมาตรา 268 ของ รัฐธรรมนูญ และ อีกหมวดหนึ่งครับพี่น้อง เขาจะใช้

หมวดที่ 13 คือเรื่อง จริยธรรมของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เขาจะกล่าวหาว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ ท่านอภิสิทธิ์ กระทำการ ที่ไร้จริยธรรอย่างมาก หากคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็น ส.ส. ยกมือไว้วางใจตนเอง

พี่น้องครับ นี่คือสิ่งที่เขากำลังจะโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ฝ่ายเสื้อแดง เฉลิม อยู่บำรุง ประสบความสำเร็จ

พี่น้อง ที่เคารพครับ วันนี้ต้องบอกพี่น้องว่า การติดตามทางการเมือง ของผมและคณะ ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และ วันนี้ เราได้พบร่องรอย ของการ เจรจา และ การวางแผน อย่างลับๆ ของกลุ่มคนที่อยู่ในซีก ของ ระบอบทักษิณ กับ แกนนำ พรรคร่วมรัฐบาล บางคน มีการจะใช ประโยชน์ จาก การอภิปราย ไม่ไว้วางใจ ของกลุ่มเสื้อแดง นายเฉลิม ให้เป็นประโยชน์ ทางการเมือง เพราะ การยื่นอภิปราย ไม่ไว้วางใจ ของ พรรคเพื่อไทย นี่จะเกิดขึ้น เมื่อการเจรจาประสบความสำเร็จ

การยื่นอภิปราย ตามมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญนั้น จะเป็นการยื่นอภิปราย แล้ว นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถ จะยุบสภาได้ เมื่อมาตรา 158 ระบุว่า หากพรรคฝ่ายค้าน หรือ ส.ส. รวมชื่อกันแล้ว ยื่นอภิปราย ไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี หรือ รัฐบาล ทั้งคณะนั้น จะต้องเสนอชื่อ ผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ของฝ่ายยื่นอภิปราย ประกอบไปด้วย

ผมใช้ภาษาชาวบ้าน เพื่อให้พี่น้องที่นี่ และพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน ได้ทราบ นั่นหมายถึงว่า ถ้า พรรคเพื่อไทย จะยื่นอภิปราย รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยื่นอภิปราย นายกฯ อภิสิทธิ์ พรรคเพื่อไทย ต้องระบุชื่อ นายกรัฐมนตรี คนใหม่ ลงในญัตติ นั้นด้วย

ขณะนี้จึงมีการเจรจากับ แกนนำพรรคร่วมบางคน กลุ่มที่สำคัญๆ เพื่อที่จะขอเอาชื่อ หัวหน้ากลุ่ม มาเป็น นายกรัฐมนตรี ที่ระบุไว้ในญัตติ อภิปราย ไม่ไว้วางใจ

พี่น้องครับ ในรัฐธรรมนูญ เขียนต่อไปอีกว่า หากการอภิปราย ไม่ไว้วางใจ จบลง และมีการ ลงมติ หากพรรคฝ่ายค้าน มีเสียงไม่ไว้วางใจ มากกว่า รัฐบาล นั่นหมายถึง ขณะที่ลงมติ อาจจะเอาเงินไปทุ่ม ซื้อ ส.ส. เอาเงินไปทุ่มซื้อจำนวนมาก เพื่อให้ไม่ไว้วางใจรัฐบาล

คำว่าไม่ไว้วางใจรัฐบาล กฎหมายระบุต่อไปอีกว่า ให้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นำชื่อของคนที่อยู่ใน ญัตติไม่ไว้วางใจ นั้นเสนอขอ พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรี ได้เลย

นั่นหมายถึงว่า ไม่ต้องนำชื่อ นายกฯ มาโหวต ในสภาอีก คนที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็คือ คนที่ไว้วางใจให้มี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นคนที่มีชื่ออยู่ใน ญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

พี่น้องครับ ขณะนี้เราวิตกกังวลว่า กลุ่มเพื่อนเนวิน หากการเจรจาสำเร็จ มีการเสนอชื่อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็น นายชัย ชิดชอบ เสนอไปพร้อมกับ ญัตติ นายชัย ในฐานะเป็น ประธานสภาผู้แทนราษฎร ปฏิเสธ ที่จะรับญัตติไม่ได้ ต้องรับญัตตินี้ และชื่อของตนเอง ก็เป็นชื่อที่ปรากฏว่า จะเป็น นายกรัฐมนตรี ต่อไป

ภายใต้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากรัฐบาลแพ้ พี่น้องครับ จะเกิดอะไรขึ้น หากรัฐบาลอภิสิทธิ์แพ้ เกิดกลุ่มเนวิน ต้องการมากกว่า กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ถ้า ชัย ชิดชอบ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเงื่อนไขทางกฎหมายนี้ กลุ่มเนวิน ก็เอาไปซิ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร ได้ทั้งหมด เพราะ นายกรัฐมนตรี คนใหม่ จะต้องนำขึ้นกราบบังคมทูล โดยอัตโนมัติ เมื่อรัฐบาลแพ้ญัตติ อภิปราย ไม่ไว้วางใจ

พี่น้องครับ วันนี้ ต้องฝากพี่น้อง ที่ฟังผมพูดจาปราศรัยกับ พี่น้อง ให้ถาม กลุ่มเนวิน ให้ถาม ท่านชัย ชิดชอบ ว่า หากมีชื่อของท่าน ปรากฏอยู่เป็น ชื่อที่ จะได้รับการแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรี ท่านจะยอมรับ หรือ ท่านจะปฏิเสธ เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอนครับ ผมถึงต้องฝากพี่น้อง ที่นี่ และ พี่น้อง ที่อยู่ทางบ้านว่า

การเมืองจากนี้ไป อย่าไปให้ นักการเมือง เล่นจน ประเทศชาติเสียหาย เราในฐานะ คนรักชาติ รักบ้าน รักเมือง เป็นมวลชน คนกู้ชาติ จะยอมให้ นักการเมือง ปู้ยี่ปู้ยำ ประเทศของเรา แต่เพียงลำพังไม่ได้ เราต้องลุกขึ้นมา ทวงถาม และ คัดค้าน การกระทำ ที่ทำลายชาติ บ้านเมือง จนถึงที่สุด ครับ พี่น้อง ขอบพระคุณมาก ครับ สวัสดีครับ

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 13 มกราคม 2552 05:09 น.
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000003458


พิมพ์ ข่าวนี้ พธม.เตือน “มาร์ค” เร่งจัดการตำรวจ – “ไทกร” แฉแผนลับ “เพื่อแม้ว” ดึง “เพื่อนเนวิน” คืน

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

ป.ป.ช. พิจารณา คดี 7 ตุลาเลือด ได้ช้า เพราะ ตำรวจ ส่งคน ฟ้องศาล สกัด ป.ป.ช. เชือด

Filed under: การเมืองภาคประชาชน,ข่าวการศึกษา,ข่าวการเมือง,ข่าวฉาว,ข่าวประชาสัมพันธ์,ข่าวสังคม,ข่าวเมืองไทย,ข้อมูลควรอ่าน - Recomendation,คดีอาญา,ความขัดแย้ง,ความรุนแรง,คุณธรรม,คุณภาพชีวิต,จริยธรรม,ชุมนุมประท้วง,ตรวจสอบ,ตำรวจฆ่าประชาชน,ปปช,ประวัติศาสตร์ไทย,รัฐสั่งฆ่าประชาชน,องค์กรสิทธิมนุษยชน,อาชญากรรม — accomthailand @ 00:47
Tags: , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,


แฉเล่ห์ ฉ้อฉล “อำนวย” ส่งคนแสร้งฟ้อง ศาล
สกัดป.ป.ช.เชือดคดี 7 ตุลาเลือด


พล.ต.ต.ภ??นวย นิ่มมะโน รภ?? ผบช.น.

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.


แฉเล่ห์ฉ้อฉล ตำรวจ “อำนวย นิ่มมะโน” ส่งเพื่อน คนบ้านเดียวกัน แสร้งฟ้องศาล ให้เอาผิด กรณี 7 ตุลาเลือด เพื่อสกัดให้ ป.ป.ช. หยุดไต่สวน เอาผิด อ้าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ คดีเรื่องเดียวกัน ที่อยู่ในชั้นศาลแล้ว ป.ป.ช.ต้องหยุดไต่สวน


นอกจากนี้ ยังเล่นแร่แปรธาตุ มอบทนายฟ้อง 9 อรหันต์ ป.ป.ช. ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพื่อให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ทั้งคณะ ขณะที่ป.ป.ช.ระบุ เมื่อศาล ยังไม่รับฟ้อง ยังมีอำนาจไต่สวนได้ แต่เมื่อศาลรับฟ้อง จำเลย ต้องพักราชการทั้งหมด ด้าน “ทนายพันธมิตรฯ” ชี้ “เพื่อนอำนวย” ใช้สิทธิ ที่ไม่สุจริต ใช้วิชามาร เป็นการฟ้องร้อง รูปแบบซูเอี๋ย ใช้ศาล เป็นเครื่องมือ

วานนี้ (12 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ ตำรวจใช้อาวุธ และ แก๊สน้ำตา เข้าสลายการชุมนุม ของ กลุ่มพันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเดินทางไปปิดล้อม อาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 เพื่อไม่ให้รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบาย จนมีผู้เสียชีวิต และ บาดเจ็บจำนวนมาก

ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ ดังกล่าวผ่านพ้นไป คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่มี นายสุรสีห์ โกศลนาวิน เป็นประธาน ได้สรุปผลการสอบสวน และ ส่งสำนวนไปยัง คณะกรรมการป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินการ กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในการสั่งการ สลายการชุมนุมดังกล่าว

โดยมีทั้ง นักการเมือง และ นายตำรวจ ที่เกี่ยวข้องหลายนาย เข้าข่ายมีความผิด ฐานเป็น เจ้าพนักงาน ปฏิบัติ และ/หรือ ละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตราย แก่กาย หรือ จิตใจ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตราย สาหัส ฆ่า และ พยายามฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 295, 297, 288, 289, 83 อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ฯลฯ

ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เตรียมดำเนินการ ฟ้องร้องเอาผิด กับ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ดังกล่าว โดยอยู่ระหว่าง การรวบรวมพยานหลักฐาน

ทั้งนี้ หากป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวน และ ชี้มูลความผิด กับ นักการเมือง และ นายตำรวจ ทั้งหมดแล้ว จะส่งผลให้ นายตำรวจทั้งหมด ต้องถูกให้ ออกจากราชการ จึงทำให้มี นายตำรวจ บางนาย พยายามหาช่องทางให้พ้นผิด จากกรณีดังกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2551 ปรากฏว่า นายสิทธิพร โพธิโสดา ซึ่งอ้างว่าเป็น ทนายความ ได้ฟ้องร้องต่อ ศาลอาญา เพื่อให้ดำเนินการเอาผิด กับ

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร.
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร.
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และ
พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. รวม 5 คน

ในความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และ ความผิดเกี่ยว กับ ชีวิตและร่างกาย เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามคดี หมายเลขดำ ที่ อ.4142/2551 โดยศาลนัด ไต่สวนมูลฟ้อง ในวันที่ 15 ธ.ค. 2551

ทว่า เมื่อถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง นายสิทธิพร ซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในครั้งนี้ ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีออกไป โดยอ้างว่า มีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรรักษา มีความเห็นให้หยุดพัก 1 วัน จึงขอเลื่อนนัด การไต่สวนมูลฟ้องไปนัดหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสิทธิพร ซึ่งเป็น โจทก์ยื่นฟ้อง ในครั้งนี้ ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่ใช่ กลุ่มพันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย แต่เหตุไฉน จึงได้ไปดำเนินการ ฟ้องร้อง นายสมชาย กับ พวก รวม 5 คนดังกล่าว

ซึ่งมีรายงานว่า นายสิทธิพร เป็นเพื่อนสนิท และเป็น คน จ.สงขลา บ้านเดียวกัน กับ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. การฟ้องร้องครั้งนี้ อาจเป็นไปได้ว่า จะมีการทำสำนวนการฟ้องร้อง ที่ค่อนข้างอ่อน พยานหลักฐาน เพื่อให้ศาลยกฟ้อง และ เพื่อจะได้นำไปอ้าง กับ ป.ป.ช.ว่า ศาลยกฟ้องแล้ว

ในขณะเดียวกัน ยังหวังผลอีกว่า หากศาลประทับรับฟ้อง ในคดีดังกล่าว การไต่สวน ของ ป.ป.ช. ก็จะต้องหยุดชะงัก เพราะคดีอยู่ในความดูแล ของ ศาล ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย การป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 86 แล้ว

ต่อมาเมื่อ วันที่ 26 พ.ย.2551 พล.ต.ต.อำนวย ทำหนังสื่อ ที่ตช.0016.146/5820 เรื่องขอคัดค้าน อำนาจการไต่สวน ของ คณะกรรมการป.ป.ช. ถึง ประธานป.ป.ช. โดยอ้างว่า การไต่สวนคดี ดังกล่าว นายสิทธิพร โพธิโสดา ได้ไปดำเนินการฟ้องร้อง ยังศาลอาญา แล้ว

ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย การป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 จึงห้ามมิให้ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวน ในคดี ดังกล่าว พร้อมทั้ง ยกตัวอย่าง กรณีตำรวจนครบาล 2 จับกุม พล.ต.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งต่อมา พล.ต.ขัตติยะ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ ดำเนินคดี กับ ตำรวจชุดจับกุม และ พนักงานสอบสวน ได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปให้ ป.ป.ช. แต่ต่อมา พล.ต.ต.ขัตติยะ ได้ยื่นฟ้องตำรวจ ชุดจับกุมต่อศาล ทาง ป.ป.ช. จึงมีหนังสือแจ้งไปยัง พนักงานอัยการว่า เรื่องอยู่ระหว่าง การพิจารณาของศาล กรณีจึงต้องห้าม มิให้คณะกรรมการป.ป.ช.รับ หรือ ยกคำกล่าวหา ขึ้นพิจารณา

ด้วยข้อเท็จจริง และ เหตุผลดังกล่าว จึงขอคัดค้านเพิ่มเติม ในประเด็นอำนาจ การไต่สวนของ คณะกรรมการป.ป.ช. ในเรื่องที่กล่าวหา ทุกข้อ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2551 พล.ต.ต.อำนวย ยังทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ตช.0016.146/6340 เรื่องขอคัดค้านอำนาจการไต่สวน ของ ป.ป.ช.(เพิ่มเติม) ถึง ประธานป.ป.ช. อีกครั้ง

โดยครั้งนี้ ได้นำสำเนาหมายเรียก พยานเอกสาร หรือ พยานวัตถุ (คดีอาญา) ศาลอาญา ตามคดีที่ นายสิทธิพร ฟ้องร้องส่งไปด้วย โดยหนังสือ ดังกล่าว ระบุว่า

“เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551 ศาาลอาญาได้มีหมายเรียก พยานเอกสาร หรือ พยานวัตถุ ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย มายัง ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ส่ง สรรพเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับ กาารไต่สวน ไปยังศาลอาญา ก่อนวันที่ 22 ม.ค. 2552 เพื่อประกอบการพิจารณา ด้วยเหตุดังกล่าว จึงห้ามมิให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับ หรือ ยกคำกล่าวหา ขึ้นพิจารณา ตามมาตรา 86(2) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงขอให้ท่าน และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ยึดถือปฏิบัติตามกฏหมาย โดยเคร่งครัด ฯ”


การดำเนินการ เพื่อให้ ตนเอง และ พวกพ้อง พ้นผิด ตามช่องทางของกฏหมาย ยังไม่ได้หยุดลง ตรงแค่ให้ นายสิทธิพรไ ปแสร้งฟ้องเอาผิดเท่านั้น โดยเมื่อ วันที่ 7 ม.ค. 2552 พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ได้มอบอำนาจให้

นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ ฟ้องคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คน ประกอบด้วย
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.
นายกล้านรงค์ จันทิก
นายใจเด็ด พรไชยา
นายประสาท พงษ์ศิวาภัย
นายภักดี โพธิศิริ
นายเมธี ครองแก้ว
นายวิชา มหาคุณ
นายวิชัย วิวิตเสวี และ
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ
เป็นจำเลยที่ 1-9 ฐานเป็น เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือ ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คำฟ้องดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติแต่งตั้ง นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เป็น ประธานอนุกรรมการไต่สวน
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.
พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ฐานกระทำผิดต่อ ตำแหน่งหน้าที่ราชการ

กรณีสั่งให้ ตำรวจสลายการชุมนุม พื้นที่หน้าบริเวณรัฐสภา ถนนอู่ทองใน และ บริเวณใกล้เคียง เมื่อ วันที่ 7 ต.ค.2551 โดยระหว่างการไต่สวนฯ ดังกล่าว ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2551 นายสิทธิพร โพธิโสดา เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) กับพวก เป็นจำเลยที่ 1-5 ต่อศาลอาญา แล้ว

โดย ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย การป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 86 บัญญัติไว้ ห้ามมิให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับ หรือ ยกคำกล่าวหา ตามมาตรา 84 เกี่ยวกับ เรื่องที่ ศาลรับฟ้อง ในประเด็นเดียวกัน และ อยู่ระหว่างการพิจารณา ของ ศาล หรือ ที่ศาลพิพากษา หรือ มีคำสั่งเด็ดขาดแล้ว แต่ปรากฏว่า จำเลยทั้งเก้า ไม่ได้ยุติการไต่สวน จึงย่อมมีความผิด ตามมาตรา 157 จึงขอให้ ศาลพิพากษา ลงโทษ จำเลย ตามความผิดด้วย ทั้งนี้ คดีดังกล่าวศาลรับคำฟ้องไว้ และ นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 2 มี.ค.2552

ต่อมา เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2552 นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ ผู้ได้รับมอบอำนาจ จาก พล.ต.ต.อำนวย ได้ทำหนังสือ จาก สำนักงานบัญชา ทนายความ และ การบัญชี เรื่อง ขอให้ปฏิบัติตามกฏหมายโดยเคร่งครัด ถึง นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. และ ประธานอนุกรรมการ

ใจความระบุว่า ขอให้ นายวิชา ในฐานะ อนุกรรมการไต่สวน ยุติการไต่สวน เพื่อมิให้ พล.ต.ต.อำนวย ได้รับความเสียหาย จากการไต่สวน หาก นายวิชา ยังไต่สวนต่อไป โดยไม่ปฏิบัติตามมาตรา 86(2) จึงมีความจำเป็น และ เสียใจอย่างยิ่ง ที่จะต้องดำเนินคดี ในทางอาญา และ ทางแพ่ง ตามกฏหมายต่อไป

กรณีดังกล่าว มีรายงานจาก ป.ป.ช. ระบุว่า คดีที่ ป.ป.ช. กำลังไต่สวน อยู่นั้น มีกรณีหลายข้อกล่าวหา และ หลายข้อหา ก็ไม่ซ้ำกัน ไม่ใช่ ประเด็นเดียว กับ กรณีที่มีผู้ไปฟ้องตำรวจไว้ และ คดีที่ไปฟ้องนั้น ยังถือไม่ได้ว่า ศาลได้รับฟ้องไว้แล้ว เพราะในคดีอาญา ที่ ราษฎร เป็นโจทก์ฟ้อง นั้น จะมีผลเป็นการรับฟ้อง ต่อเมื่อศาลทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ ประทับรับฟ้อง

เมื่อศาลยังไม่ประทับรับฟ้อง จึงเท่ากับ ศาลยังไม่รับเป็น คดี ป.ป.ช. จึงมีสิทธิทำการไต่สวนต่อไป นอกจากนั้น ข้อหา ก็มิได้ซ้ำซ้อนกัน ที่สำคัญคือ ผู้ไปฟ้องคดี กับ ตำรวจนั้น ไม่แน่ว่า จะเป็นใคร อาจจะเป็นพวกเดียวกันฟ้องคดี เพื่อช่วยเหลือกันก็ได้ หรือ อาจจะเป็น ผู้เสียหายจริงๆ แล้วฟ้องคดี เพื่อบรรเทาความเสียหาย ของตน ก็ได้ ซึ่งต้องดูข้อเท็จจริงต่อไป แต่เมื่อ ศาลยังไม่รับฟ้อง ก็ยังไม่เป็นคดี และ ถ้าศาลรับฟ้องเมื่อใด ก็คงต้องมี การพักราชการ บรรดาจำเลย ที่ถูกฟ้อง

“การฟ้องร้องคดีของ พล.ต.ต.อำนวย จึงมิได้สร้างความวิตกกังวล ให้แก่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คน แต่อย่างใด บางท่าน ถึงกับ กล่าวว่า ตำรวจ เขาดูกฏหมาย กันอย่างไร มิน่าเล่า บ้านเมือง จึงตกอยู่ในสภาพ ไร้ขื่แปเช่นนี้” แหล่งข่าวกล่าว

ขณะที่ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า กรณีที่ นายสิทธิพร โพธิโสดา ทนายความ ได้ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับ พวก นั้น ตนขอเวลา ตรวจสอบรายละเอียด เกี่ยวกับตัว นายสิทธิพร ที่อ้างตัวเป็น ทนาย ว่าเป็น ทนายสังกัดใด มีเบอร์ติดต่อ ได้หรือไม่ จาก สภาทนายความก่อน และ จะต้องหาความชัดเจน ในการเชื่อมโยง ว่ามี ความเกี่ยวข้อง เป็นเพื่อน หรือเป็นอะไร กับ พล.ต.ต.อำนวย ตามที่หลายฝ่าย ให้รายละเอียดตนมา

เพื่อที่จะได้ ยื่นฟ้องต่อศาล ให้ศาลรับรู้ว่า การที่ นายสิทธิพร ไปยื่นฟ้อง บุคคลทั้งหมด ที่กล่าวมาเบื้องต้น เป็นการประพฤติตน ไม่เหมาะสม ถือเป็นการใช้สิทธิ ที่ไม่สุจริต ใช้วิชามาร ซึ่งเป็นการ ฟ้องร้อง รูปแบบซูเอี๋ย เพื่อให้ศาล ได้ทราบว่า ศาล ถูกใช้เป็นเครื่องมือ

“หากตรวจพบว่า นายสิทธิพร ใช้ตำแหน่งทนายความ ในทางที่ ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง จะต้องยื่นเรื่องให้ สภาทนายความ พิจารณา ถอนใบอนุญาติ ว่าความ ต่อไป ซึ่งผมต้องเร่งตรวจสอบ ให้รู้ถึงที่มาที่ไป ว่ามีข้อมูลด้านใด ที่จะมาโยงเรื่องได้” นายสุวัตรกล่าว

ส่วน คณะกรรมการป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. จะดำเนินการเอาผิด กับ รายชื่อที่ทาง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ชี้มูลความผิด นำเสนอให้ทราบแล้วนั้น อย่างไร นายสุวัตร กล่าวว่า ในเรื่องนี้ ป.ป.ช. มีข้อเท็จจริง อยู่ในมืออยู่แล้ว แต่ในด้านของ ศาล เราต้องรีบทำเรื่องให้ ศาล รู้ความเป็นจริง ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตนขอเวลา ตรวจสอบอีกครั้ง

ด้าน นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกัน และ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึง ความคืบหน้า ในการไต่สวนคดี ดังกล่าวว่า ขณะนี้กำลังไต่สวนอยู่ และ ยังมีการพิจารณา ข้อโต้แย้งอยู่ แต่การที่พิจารณาได้ช้า เพราะ

ขณะนี้ พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ให้ ทนายความยื่นฟ้อง นาย ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ป.ป.ช. กับ พวก กรรมการ ป.ป.ช. รวม 9 คน ในความผิด ฐานเป็น เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือ ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อย่างไรก็ตาม เราก็จะทำงานต่อไปเรื่อยๆ และ ไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่อย่างใด ซึ่งต่อไปนี้ จะต้องมีกระบวนการ ในการแก้คดีต่อไป

นายวิชา กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ตนจะต้องนำเรื่องนี้ เข้าหารือในที่ประชุม ป.ป.ช. ในวันนี้ (13 ม.ค.) เพราะ เรื่องนี้เป็น เรื่องสำคัญ ถือว่าเป็น อุปสรรค และ ขัดขวาง การทำงานของเรา ทำให้เราไม่สามารถ ไต่สวนคดี ได้โดยสะดวก

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ ตนไม่ได้เป็น คนขอทำ แต่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย ให้ดำเนินการ ในเมื่อมีการฟ้องร้อง เราก็จำเป็นต้อง ปรึกษา คณะกรรมการ ป.ป.ช.

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์
13 มกราคม 2552 00:47 น.
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000003430


พิมพ์ ข่าวนี้ แฉเล่ห์ฉ้อฉล”อำนวย” ส่งคนแสร้งฟ้องศาล สกัดป.ป.ช.เชือดคดี 7 ตุลาเลือด

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

December 5, 2008

อยากกอดป๊า แล้วบอกว่ารักป๊าที่สุด อยากฝันถึงป๊าในวันพ่อ

คุกกี้ – ลิปิการ์ กลัดสาคร ถืภ??ระถางธูปนำหน้าหีบศพพ่ภเจนกิจ

คุกกี้ – ลิปิการ์ กลัดสาคร ถือกระถางธูปนำหน้าหีบศพพ่อ เจนกิจ


“คุกกี้” ในวันพ่อ – ที่ไร้พ่อ “เจนกิจ”


เป็นระยะเวลาหลายปี ของวันที่ 5 ธันวาคม ที่เด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง จะกระวีกระวาด ตื่นแต่เช้า และกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ในการหอบกระเป๋าใบใหญ่ กระโดดขึ้นรถ และรอให้ผู้เป็นพ่อพาไปส่ง ที่โรงเรียนอย่างเคย เพราะวันนั้น เป็นวันพิเศษ ที่เธอจะได้รับ แจกกระดาษสีสวยๆ จากครูประจำชั้น พร้อมคำแนะนำ ในการทำ “การ์ดวันพ่อ” เพื่อจะทำไปให้ ผู้ชายคนที่สำคัญที่สุดในโลก แต่ในปีนี้ เด็กหญิงเล็กๆ คนนี้ คงไม่ได้มอบการ์ดให้ กับมืออันอบอุ่นของ พ่อของเธออีกแล้ว


เช้ามืดของ วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน เวลาราวๆ 03.30 น. เกือบทุกชีวิตของ ผู้รักชาติ รักแผ่นดิน ที่เดินทางมาเรียกร้อง ประชาธิปไตย ในบริเวณ ทำเนียบรัฐบาล กำลังหลับใหล จู่ๆ เสียงระเบิดจาก อาวุธสงคราม ดังสนั่นขึ้น และเมื่อ หมอกควัน ไอสังหารจางลง …ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ อีกหนึ่งชีวิตของ “เจนกิจ กลัดสาคร” ก็ดับดิ้นลงใน วินาทีนั้น สังเวยแก่ รัฐบาลมารครองเมือง ผู้ยอมทำทุกอย่าง กระทั่งอยู่เบื้องหลัง การไล่ล่าฆ่าประชาชน ผู้ต่อต้านตน อย่างไร้ศีลธรรม


ภาพชายวัยกลางคน สวมแว่น ดวงตาปิดสนิท เลือดสดๆ สีเข้มไหลทะลัก ท่วมจมูก ปาก ลำคอ และไหลนอง เต็มหน้าอก และท้อง ภาพสุดท้าย ของชาย ผู้ซึ่งเป็นสามีของผู้หญิงคนหนึ่ง และเป็นพ่อของลูกๆ อีก 3 คน ที่จากไป พร้อมกับทิ้งภาระอันหนักอึ้ง และความโศกเศร้า สุดบรรยายไว้ให้ คนที่อยู่ข้างหลัง


“หนูเรียกพ่อว่าป๊า” ประโยคแรกของ ลิปิการ์ กลัดสาคร หรือ “น้องคุกกี้” ลูกสาวคนโตของ เจนกิจ ที่บอกเล่า ความหลังระหว่าง ป๊า กับ เธอ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า ด้วยความที่ทั้ง เธอและป๊า ติดนิสัยขี้อาย ด้วยกันทั้งคู่ ทำให้นานๆ ครั้ง ในโอกาสพิเศษเท่านั้น ที่จะได้กอดกัน และ บอกรักซึ่งกันและกัน


“ปกติเวลาเล่นกันกับป๊า หนูจะชอบ ตีพุงป๊า ป๊าพุงใหญ่ หนูชอบเล่น แต่ป๊าจะขี้เขิน หนูก็ขี้อาย กอดป๊าบ้าง แต่ไม่ค่อยได้หอม ไม่กล้า” แต่แม้จะ ไม่ค่อยได้แสดง ความรักต่อลูกมากนัก แต่เจนกิจ ก็มีวิธีการ ทำให้ลูกๆ รู้สึกว่าใกล้ชิด กับเขา
คุกกี้ – ลิปิการ์ กลัดสาคร ถืกระถางธูปนำหน้าหีบศพพ่ เจนกิจ

คุกกี้ – ลิปิการ์ กลัดสาคร ถือกระถางธูปนำหน้าหีบศพพ่อ เจนกิจ

คุกกี้ เล่าว่า ทุกเช้า ป๊าจะเป็นคนขับรถ ไปส่งที่โรงเรียน เป็นเช่นนี้ทุกวัน แต่หากวันไหน ติดภารกิจ หรือ ไปร่วมชุมนุม กับ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย และไม่ได้ไปส่งเธอ ที่โรงเรียนด้วยตัวเอง ก็จะให้หยุดเรียน และหลังจากกลับมาโรงเรียน คุกกี้และน้องๆ ก็จะขลุกอยู่ กับพ่อแม่ ดูทีวี ด้วยกันบ้าง และถ้าทำการบ้านไม่ได้ พ่อก็จะเป็นคนดูให้ สอนและอธิบายให้ฟัง

“ป๊า เป็นนักกีฬา เปตอง ได้เข้าแข่งภายในจังหวัด และแข่งข้ามจังหวัด ด้วย ป๊าสอนให้หนูเล่น เปตอง หนูชอบเล่น เปตอง แล้วก็ชอบเวลา ที่อยู่กับป๊า แต่ป๊าไม่ชอบให้หนู เล่นนานๆ แล้วก็ไม่ชอบให้ หนูเล่นบ่อย เพราะป๊าบอกว่า กลัวลูกสาวป๊ามือเจ็บ กลัวลูกสาวป๊ามือด้าน


ทุกถ้อยคำการย้อนรำลึกถึง พ่อของคุกกี้ คือ ภาพแห่งความสุข ที่เธอจะไม่มีวันได้พบพานมันอีก


คุกกี้ เล่าให้ฟังอีกด้วยว่า ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ป๊ามักจะสอนเสมอ ว่าให้เป็นคนดี ไม่ดื้อไม่ซน ตั้งใจเรียน และพร้อมจะส่งเสริมทุกด้านที่ เธอสนใจ


“หนูอยากเป็นนักดนตรี ป๊าส่งเสริมมาก สนับสนุนสุดตัว หนูมี กีตาร์เป็นของตัวเองด้วย แล้ว ป๊าก็จะสอนให้ รักประเทศ ป๊ารักในหลวง ที่บ้านก็มี รูปในหลวง เวลาป๊าไปพันธมิตร ป๊าจะบอกเสมอว่า ไปปกป้องประเทศชาติ ป๊าไปถามหา ความยุติธรรมจากรัฐบาล แต่ป๊าไม่ให้หนูไปด้วย เพราะรู้ว่า ไม่ปลอดภัย เพราะมีข่าวยิงระเบิด ใส่กลุ่มพันธมิตรตลอด แต่หนูก็ไม่คิดว่า ป๊าจะโดน”


เมื่อถามว่า คุกกี้ พอจะเดาได้ไหม ว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้ “ป๊า” จากไป อย่างไม่มีวันกลับ ด้วยการยิงระเบิด ใส่ผู้ชุมนุมบริเวณหน้าเวที พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย จนมีผู้บาดเจ็บสาหัส หลายราย และ ป๊าของคุกกี้ โดนสะเก็ดระเบิดทะลุลำคอ ตัดเส้นเลือดใหญ่ และเสียชีวิต


เด็กหญิงวัย 11 ปี กล่าวอย่างหนักแน่น ว่า “รัฐบาล” เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ในครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวว่า เธอเชื่อว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การเสียชีวิตของพ่อเธอ และรวมถึงผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ นั้น คือ รัฐบาล ที่ใช้เงิน ไปจ้าง นปช.-นปก. มายิงอาวุธสงคราม ใส่พันธมิตรฯ แน่นอน


“หนูโกรธเขามาก หนูเกลียดมาก และหนูก็แค้นมากด้วย กับคน ที่ฆ่าและสั่งฆ่า พ่อของหนู หนูอยากจะถามกลับ เขาเหมือนกันว่า ถ้าเป็นพ่อเขาตาย เป็นแม่เขาตายบ้าง เขาจะรู้สึกอย่างไร เขาจะอยู่ได้อย่างไร” คุกกี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ


ล่วงเข้า เดือนธันวาคม เมื่อถึงวัน เฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันถือเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยนั้น น้องคุกกี้ เล่าว่า ทุกๆ ปี ที่โรงเรียน จะสอนทำ การ์ดวันพ่อ


“ให้การ์ดป๊าทุกปี เพราะโรงเรียน จะสอนทำ ทำเสร็จ กลับจากโรงเรียน ก็จะเอาการ์ดให้ป๊า ป๊าก็จะรับ แล้วก็กอดหนู บอกว่ารักหนู ป๊าจะเก็บการ์ดไว้ ทุกใบ ป๊าไม่ค่อยบอกรักลูก แต่ทุกวันพ่อ เวลาป๊าได้การ์ด ป๊าจะบอกรักหนู”


เสียงของ น้องคุกกี้ เริ่มเศร้าลง เมื่อพูดถึงวันพ่อ เนื่องเพราะเป็น วันพ่อครั้งแรก ในชีวิตของเธอ ที่ไร้เงาของพ่อ วันพ่อครั้งแรก ที่ไม่มีพ่อให้กอด


“ปีนี้ หนูจะทำการ์ด เหมือนทุกปี ก็จะเอาไปวางไว้ หน้ารูปป๊า เอาพวงมาลัยไปกราบป๊า บอกป๊าว่า หนูจะเป็นเด็กดี ขอให้ป๊า อย่าห่วง ให้ป๊าหลับ ให้สบาย หนูจะดูแล แม่กับน้องเอง หนูคิดถึง ป๊ามาก ป๊าเคยบอกหนูไว้ ก่อนป๊าจะโดนระเบิด บอกว่าถ้าป๊าเป็นอะไรตาย ป๊าจะมาหา ถ้าป๊ามาหา ดึกๆ ทีวีจะเปิดเอง แล้วเปิด ช่องเอเอสทีวี ด้วย ขอให้หนูกับแม่รู้ว่า ป๊ามาหา ถึงตอนนั้น เอาข้าวเอาปลามาให้ป๊าด้วยนะ

แต่จนวันนี้ป๊า ก็ไม่เคยกลับมาบ้าน หนูไม่เคยฝันถึงป๊า คิดถึงป๊ามาก ถ้าถามว่า วันพ่ออยากได้อะไรมากที่สุด หนูอยากฝันเห็นป๊า อยากเจอป๊า อยากกอดป๊า แล้วบอกว่ารักป๊าที่สุด อยากฝันถึงป๊าในวันพ่อ”

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 5 ธันวาคม 2551 09:29 น.
http://manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9510000143591


พิมพ์ ข่าวนี้ “คุกกี้” ในวันพ่อ ที่ไร้พ่อ “เจนกิจ”

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

December 2, 2008

ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย 9-0 ให้ ยุบพรรค พลังประชาชน มัชฌิมาธิปไตย และ 8-1 ชาติไทย


รายละเอียด ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบ
“พลังประชาชน” “มัชฌิมาธิปไตย” “ชาติไทย”

เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ เอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ตัดสินยุบพรรค พลังประชาชน และ ให้ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ของ กรรมการบริหารพรรค 37 คนๆละ 5 ปี


12.44 น. ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ตัดสินให้ ยุบพรรค มัชฌิมาธิปไตย และ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ของ กรรมการบริหารพรรค คนๆละ 5 ปี


13.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย มีมติ 8 ต่อ 1 ตัดสินให้ ยุบพรรค ชาติไทย และ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ของ กรรมการบริหารพรรค คนๆละ 5 ปี

คาดว่า กกต. จะไม่สามารถ ให้ การรับรอง สส.สัดส่วน ที่คิดจะย้ายพรรค ของพรรคที่ถูกยุบ เพราะผิดเจตุจำนงค์ ของรัฐธรรมนูญ เพราะคนไม่ได้กาให้ พรรค ที่ตั้งใหม่

ล่าสุดเมื่อเวลา 18.40 น. ณ บ้านพระอาทิตย์ แกนนำพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 27 มีมติ ให้ยุติการชุมนุม ทั้ง ที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ และคืนพิ้นที่ให้ ในวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ภายในเวลา 10.00 น.

เราขอแสดงความยินดี กับเพื่อนๆ พันธมิตรฯ ทุกๆ ท่าน ด้วยความจริงใจ ถึงแม้ว่า ชัยชนะของเพื่อนๆ พันธมิตรฯ จะต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อนเราถึง 7 คน และมีผู้บาดเจ็บ อีกกว่า 500 คน

แต่เราเชื่อว่า ภาระกิจของ พันธมิตรฯ ยังไม่จบ ต้องรวมพลัง รวมใจให้เป็นหนึี่งเดียว ตลอดไป และต่อต้าน นักการเมืองเลวๆ ไม่ให้กลับมา มีอำนาจ อีกต่อไป เพื่อการเมืองใหม่ ที่แท้จริง ในอนาคตอันใกล้นี้ เราหวังเช่นนั้นจริงๆ

และพร้อมจะเป็น หนึ่งเสียง หนึ่งพลัง ของพันธมิตรฯ ตลอดไป เห็นภาพเพื่อนๆ พันธมิตรฯ ที่สนามบินสุวรรณภูิม ิโห่ร้องแสดงความดีใจ

เราเอง ก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่เหมือนกัน พอนึกถึง ความยากลำบาก ของเพื่อนๆ พันธมิตรฯ ทุกคน ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา



ศาล รธน. มติเอกฉันท์! สั่งยุบ “พปช.” ตัดสิทธิ กก.บห. 5 ปี – “ชายอำมหิต” หลุดเก้าอี้


ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวิจิฉัย โดยมีมติ 9 ต่อ 0 สั่งยุบพรรคพลังประชาชน พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร 5 ปี ล่าสุด ยุบพรรคมัชฌิมาฯ และพรรคชาติไทย พร้อมตัดสิทธิ กก.บห.พรรค 5 ปี เช่นกัน


คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย ตัดสินคดียุบพรรค พลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัฌชิมาธิปไตย
คลิกที่นี่ เพื่อชม ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย ตัดสินคดียุบพรรค พลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัฌชิมาธิปไตย (56 K)
คลิกที่นี่ เพื่อชม ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย ตัดสินคดียุบพรรค พลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัฌชิมาธิปไตย (256 K)

จาก manager multimedia


คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลด ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย ตัดสินคดียุบพรรค พลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัฌชิมาธิปไตย


เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 ธ.ค. ที่ศาลปกครองกลาง นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกอ่านคำวินิจฉัย ในคดีที่ อัยการสูงสุด ยื่นคำร้อง ขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัย ยุบพรรคพลังประชาชน ว่า


การทำงานของศาล เป็นอิสระไม่มีการแทรกแซง หรือกดดันศาล ซึ่งศาลจะวินิจฉัย ตามบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติเอาไว้ และใน สถานการณ์บ้านเมือง ที่เป็นเช่นนี้ คำวินิจฉัยของ ศาลย่อมจะส่งผลให้มี ผู้เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ก็ขอให้ ทุกฝ่ายเชื่อมั่น และยอมรับ คำวินิจฉัย ตามระบอบ การปกครองโดยกฎหมาย


ประเด็นที่จะวินิจฉัยมี สามประเด็น


ประเด็นที่ 1. คือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. และการได้มา ซึ่ง ส.ว. หรือไม่ ประเด็นที่ 2. มีเหตุสมควรให้ ยุบพรรคที่ถูกร้องหรือไม่
ประเด็นที่ 3. หัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ถูกยุบ ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือไม่


รัฐธรรมนูญ 50 มีเจตนารมณ์ให้ การเลือกตั้ง สุจริตและ เที่ยงธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีบทบัญญัติ ป้องกันการทุจริต ห้ามให้ทรัพย์สิน หรือซื้อเสียง เพื่อให้นักการเมือง ได้รับการเลือกตั้ง อันเป็นวิธีการหนึ่งที่ นักการเมืองใช้กันมานาน จนเกิดความเคยชิน เป็นความผิด ที่ร้ายแรง และเป็นการ บ่อนทำลาย ไม่ให้ประชาธิปไตย พัฒนาเป็นประชาธิปไตย ที่แท้จริง และก่อให้เกิด ความเสียหายกับประเทศ


เนื่องจาก นักการเมืองเมื่อเข้าสู่อำนาจแล้ว ก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ ด้วยวิธีการที่ไม่ชอบ โดยไม่มีความละอาย เพื่อเตรียมไว้ใช้ กับการเลือกตั้ง ต่อไป อันเป็นวงจรเลวร้าย ไม่มีที่สิ้นสุด รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติเพื่อป้องกันไว้ อย่างเข้มงวด และเป็นการส่งเสริม นักการเมือง ที่ตั้งมั่นในสุจริต เข้ามาทำประโยชน์ ให้แก่ประเทศชาติ


ชี้ “ยงยุทธ” ฝืน กม.เลือกตั้ง ม.35


ในประเด็นแรก นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค พลังประชาชน กระทำความผิด ตามพ.ร.บ.เลือกตั้ง หรือไม่ นั้น เห็นว่า ประเด็น ปัญหาการทำความผิดของ นายยงยุทธ ได้มีการต่อสู้ โดยทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ได้มีโอกาส นำพยานและหลักฐาน เข้าสู่การพิจารณาคดี ของศาลฎีกา อย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งศาลฎีกามีคำวินิจฉัยไว้แล้วว่า นายยงยุทธ กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เลือกตั้ง มาตรา 53 และทำให้ การเลือกตั้ง ส.ส. ที่ จ.เชียงราย มิได้เป็นไปโดยสุจริต ตามคำสั่งของ ศาลฎีกาที่ 5019/2551


ประเด็นที่ ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว นั้นเป็นประเด็น ข้อเท็จจริง เดียวกัน และอยู่ใน อำนาจของศาลฎีกา ทีจะวินิจฉัยตาม ที่กฎหมายกำหนด เขตอำนาจ วินิจฉัย ของแต่ละศาล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา239 วรรค2


ประกอบ กับ พ.ร.บ.เลือกตั้ง มาตรา111 บัญญัติให้ ศาลฎีกาเป็น ผู้วินิจฉัย ชี้ขาด กรณีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยเฉพาะ และเรื่องนี้ ศาลฎีกา ได้พิจารณาแล้ว ว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายยงยุทธ กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา53 และมีผลให้ การเลือกตั้ง ส.ส.เชียงราย ไม่ได้เป็นไป โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ประเด็นนี้ จึงยุติ ตามคำสั่งของศาลฎีกาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ อีกทั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้มีอำนาจ รับวินิจฉัย หรืออุทธรณ์ คำสั่งของศาลฎีกา


ข้ออ้างหนีผิด ฟังไม่ขึ้น


ประเด็นที่ผู้ถูกร้องอ้างว่า คำสั่งของศาลฎีกา ไม่มีผลผูกพัน พรรคผู้ถูกร้อง หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค เพราะมี บุคคลภายนอกทุจริต นั้น เห็นว่าประเด็น ที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัย มิใช่ผู้ถูกร้อง หัวหน้าพรรคพลังประชาชน กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง หรือไม่


แต่เป็น การพิจารณา วินิจฉัย ว่าเมื่อ นายยงยุทธ ฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำสั่งให้มี การยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของ กรรมการบริหารพรรค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และ มาตรา68 วรรค3 หรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้อง วินิจฉัยว่า พรรค หรือ กรรมการบริหารพรรค คนอื่นเป็น ผู้กระทำผิด ด้วยหรือไม่ คำคัดค้านของผู้ถูกร้อง จึงไม่อยู่ในอำนาจของ ศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นอีก


ประเด็นที่ผู้ถูกร้องอ้างว่า การกระทำของ นายยงยุทธเกิดขึ้นก่อนที่ พรรคจะมีมติ ส่งนายยงยุทธ ลงรับสมัครเลือกตั้ง จึงยังไม่ถือว่า เป็นผู้สมัคร ศาลเห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัย ในประเด็นนี้แล้วว่า แม้จะทำก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งก็ตาม แต่ภายหลัง ก็ได้สมัครรับเลือกตั้ง ก็ถือว่า เป็นการกระทำ ในฐานะ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง


ดังนั้น จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจของ ศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น เช่นกัน และไม่มีบทบัญญัติใด ที่จะกำหนดให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย ล้มล้าง หรือเปลี่ยนแปลง คำวินิจฉัยชี้ขาดของ ศาลฎีกา เนื่องจาก ศาลแต่ละระบบนั้น นอกจากจะเป็นอิสระ จากการเมืองแล้ว ยังเป็นอิสระต่อกันด้วย


ยันพรรคห้าม ศาลฯ สั่งยุบพรรค ไม่ได้


ประเด็นต่อมา ที่ต้องวินิจฉัยว่า สมควรจะต้องยุบพรรคการเมือง หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 237 วรรคสอง บัญญัติว่า หากมีการทำผิด ของ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า หัวหน้าพรรค หรือ กรรมการบริหาร มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย การกระทำนั้น หรือมิได้ ยับยั้ง ให้ถือว่า พรรคการเมืองนั้น กระทำการให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครอง โดยวิถีทาง ที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 และ บัญญัติอีกว่า หากศาลมีคำสั่งให้ ยุบพรรคการเมือง ก็ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค มีกำหนดเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ ศาลมีคำสั่ง


บทบัญญัติดังกล่าว เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่า หากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า กรรมการบริหารพรรคผู้ใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย การกระทำ ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือไม่แก้ไข ให้สุจริตและเที่ยงธรรม กฎหมายให้ถือว่า พรรคการเมืองนั้น กระทำการให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการปกครอง โดยวิถีทางอันไม่ได้บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ แม้ข้อเท็จจริง พรรคการเมือง หรือ หัวหน้าพรรค จะไม่มีส่วนร่วมก็ได้ กฎหมาย ถือว่า เป็นผู้กระทำ จึงเป็นข้อยุติ ที่ไม่อาจโต้แย้งได้ และศาลรัฐธรรมนูญ ก็มิอาจวินิจฉัย เป็นอื่นได้


เนื่องจาก ความผิดในการซื้อเลือกตั้ง เป็นความผิดที่ร้ายแรง และผู้กระทำ จะใช้วิธีการอันแยบยล กฎหมายจึงบัญญัติให้เป็น หน้าที่ของ ผู้บริหารพรรค ต้องคัดเลือกบุคคล ที่จะเข้าทำงาน กับ พรรค และควบคุม ดูแลสอดส่อง ไม่ให้ คนของพรรค ทำความผิด โดยมีบทบัญญัติ ให้ พรรคการเมือง และ ผู้บริหาร ต้องรับผิด ตามหลักนิติบุคคล ต้องรับผิดชอบ ของการกระทำของ ผู้แทน หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทน นิติบุคคล นั้นด้วย จะปฏิเสธ ความรับผิดชอบไม่ได้ คดีนี้ จึงถือมีเหตุ ตามกฎหมายที่ ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า สมควรยุบพรรคการเมือง ผู้ถูกร้องหรือไม่


ผู้ถูกร้องเป็น พรรคการเมือง ที่เป็นองค์กร ที่มีความสำคัญยิ่ง ของการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย ต้องเป็น ตัวอย่าง ที่ถูกต้องชอบธรรม และ สุจริต การได้มาซึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของผู้ถูกร้อง ควรได้มา ด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความนิยม ในตัว ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และพรรคการเมือง เป็นหลัก ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ หรืออามิสสินจ้าง ที่เป็นเหตุจูงใจ ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ลงคะแนนให้


กรรมการบริหารพรรคทุกคน ควรช่วยทำหน้าที่ควบคุม และดูแลผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่พรรคส่ง ตลอดจน กรรมการบริหารพรรค ด้วยกันเอง ไม่ให้ กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย แต่ นายยงยุทธ กลับใช้วิธี ที่ผิดกฎหมาย ให้ตัวเองได้รับการเลือกตั้ง ทำให้พรรคการเมือง ได้รับ ส.ส. เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ถูกร้อง ถือว่าได้รับประโยชน์ และกรณีนี้ เป็นเรื่องร้ายแรง


กก.บห.พรรคต้องมีสามัญสำนึกสุจริตชน


ประเด็นที่ ผู้ถูกร้อง อ้างว่าการกระทำความผิด ตามมาตรา 237 วรรคสอง จะต้องเป็น คนละคนกับ ผู้กระทำความผิด ตามมาตรา 237 วรรคหนึ่ง และ ยืนยันว่า หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค คนอื่นไม่มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วไม่ระงับยับยั้ง หรือแก้ไข ให้การเลือกตั้ง เป็นไปโดยสุจริต


เห็นว่าหาก ผู้กระทำความผิด ตามวรรคหนึ่ง เป็นกรรมการบริหารพรรค เสียเอง ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัด ว่า กรรมการบริหารพรรค คนนั้น ย่อมมีเจตนา กระทำความผิด ยิ่งกว่า เพียงผู้รู้เห็นเป็นใจ กับผู้อื่นเสียอีก จึงย่อมไม่มีความจำเป็น ต้องให้ หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค คนอื่น เป็นผู้มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วไม่แก้ไข เพราะกรรมการบริหารพรรค ที่ทำความผิด ตามวรรคหนึ่ง ก็มีฐานะเป็น กรรมการบริหารพรรค ขณะที่กระทำความผิด จึงเป็นกรณีที่ร้ายแรงกว่า บุคคลอื่น เป็นผู้กระทำ อันเป็นไปตามหลักกฎหมาย ที่ว่า เมื่อกฎหมาย ห้ามกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย ใดไว้ สิ่งที่ชั่วร้ายมากกว่านั้น ย่อมถูกห้ามไปด้วย ซึ่งตรงกับ สามัญสำนึกของ สุจริตชนทั่วไป และตรงกับ ตรรกะ ที่ว่า ยิ่งต้องเป็น เช่นนั้น ข้ออ้างของผู้ร้อง จึงฟังไม่ขึ้น


พรรคเข้มแข็งต้องมีคุณภาพ คำอ้างไม่ควรยุบฟังไม่ขึ้น


ประเด็นที่ ผู้ถูกร้อง อ้างว่าพรรคการเมือง เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ที่สำคัญ ของการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งควรมี ความเข้มแข็ง และ ไม่ควร ถูกยุบ โดยง่าย


เห็นว่า การเป็นองค์กร ที่เข้มแข็ง ต้องเป็นความเข้มแข็ง ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ด้วยความสุจริต แต่หากเป็น พรรคการเมือง ที่เข้มแข็ง ด้วยทางทุจริต ย่อมเป็นการทำลาย พรรคการเมือง ที่สุจริต และเป็นการทำลาย การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย แม้พรรคที่ หย่อน คุณภาพมาตรฐาน จะถูกยุบ แต่คนที่มีอุดมการณ์ อันบริสุทธิ์ทางการเมือง ตรงกัน ย่อมมีสิทธิ์ ขั้นพื้นฐาน ที่จะตั้ง พรรคการเมือง ขึ้นใหม่ เมื่อใดก็ได้ การยุบพรรคการเมือง ที่กระทำผิด จึงเป็นการปลูกฝัง การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ให้เป็นไปโดยสุจริต อันจะเป็น คุณประโยชน์ ต่อการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อย่างแท้จริง


ประเด็นที่ผู้ถูกร้อง อ้างว่า พรรคได้กำหนด มาตรการป้องกัน ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย และระเบียบของ กกต. ก่อนจะ ประกาศ พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง โดยจัดประชุมชี้แจง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของพรรค ทราบแล้วนั้น


เห็นว่าแม้จะได้กระทำจริง ก็ไม่ได้เป็น ข้อยกเว้นการรับผิดทางกฎหมาย ในกรณี ที่ หัวหน้า และ กรรมการบริหารพรรค ทำผิดเสียเอง เพราะใน กรณีเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ ที่จัดทำ ไม่มีผลบังคับใช้ แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริง ว่ามีการกระทำความผิด โดยผู้ที่เป็น กรรมการบริหารพรรค ของผู้ถูกร้อง ผู้ถูกร้อง ย่อมต้องรับผิด ตามบทบัญญัติของกฎหมาย


ชี้ กกต.ดำเนินการ โดยชอบตาม กม.


ประเด็นที่ ผู้ถูกร้องอ้างว่า ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากการกระทำของ นายยงยุทธ ตามที่มีการกล่าวหา เห็นว่าประเด็นนี้ ศาลฎีกา ได้มีการวินิจฉัย ไว้แล้วว่า การกระทำของ นายยงยุทธ ทำให้การเลือกตั้ง จังหวัดเชียงราย ไม่สุจริต และเที่ยงธรรม ซึ่งยังผลให้ พรรคของผู้ถูกร้องมี ส.ส. จำนวน มากขึ้น อันเป็นประโยชน์สำคัญ ประการหนึ่ง


สำหรับประเด็นที่ ผู้ถูกร้องอ้างว่า การสืบสวนสอบสวน ของ กกต. และการยื่นคำร้องเป็น การละเมิดสิทธิ์ใน กระบวนการยุติธรรม ไม่เป็นไปตามหลัก นิติธรรม เห็นว่า ประเด็นนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่า เป็นการดำเนินการโดยชอบ ด้วยกฎหมาย ผู้ยื่นคำร้อง เป็นผู้มีหน้าที่ ตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 95 และดำเนินการโดยถูกต้อง ตามข้อกำหนด ของ ศาลรัฐธรรมนูญ ทุกประการ จึงเป็นการดำเนินการ ตามบทบัญญัติ ของกฎหมาย


การที่ นายยงยุทธ ที่เป็น รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค เป็นส.ส. หลายสมัย มีบทบาทสำคัญ จนได้รับยกย่องให้เป็น รองหัวหน้าพรรค และประธานรัฐสภา จึงมีหน้าที่ ต้องควบคุมและสอดส่องดูแลให้ สมาชิกพรรค ที่ตนบริหาร ดำเนินการ ด้วยการสุจริต แต่กลับทำความผิด ที่ร้ายแรง เสียเอง และเป็นภัยคุกคาม ต่อระบอบประชาธิปไตย ของประเทศ


จึงมีเหตุสมควรต้องยุบ พรรคการเมือง ของผู้ถูกร้อง เพื่อให้เป็น บรรทัดฐาน พฤติกรรมทางการเมือง ที่ดีงาม เพื่อให้เกิดผล ในทางยับยั้ง และป้องกัน ไม่ให้กระทำความผิดซ้ำ


หัวหน้าพรรค-กก.บห.ต้องถูกตัดสิทธิ 5 ปี


ประเด็นที่ 3 หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร พรรคการเมือง ที่ถูกร้อง จะต้องถูก เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง หรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 237 วรรค 2 บัญญัติว่าในกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ ยุบพรรค


ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีกำหนด 5 ปี นับจากวันที่มีคำสั่ง ให้ยุบพรรค ตรงกับมาตรา 68 วรรคสี่ ที่บัญญัติไว้เช่นเดียวกัน บทบัญญัติดังกล่าว เป็นข้อบังคับ ทางกฎหมาย เมื่อศาล มีคำสั่งยุบพรรค แล้ว จะต้องเพิกถอนสิทธิ ของ หัวหน้า และ กรรมการบริหารพรรค ที่อยู่ในขณะกระทำความผิด เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งศาลไม่มีดุลพินิจ จะสั่งเป็นอื่นได้


ส่วนข้อโต้แย้งของ ผู้ถูกร้องที่ว่า การเพิกถอนสิทธิของ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร ต้องเป็นกรณีที่ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค แต่ละคน ต้องมีส่วนรู้เห็น หรือ ปล่อยปละละเลย ตามพ.ร.บ. พรรคการเมืองมาตรา 98 เห็นว่า การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของกรรมการบริหารพรรค ในคดีนี้ เป็นการเพิกถอน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสาม ประกอบมาตรา 237 วรรคสอง ซึ่งไม่ใช่ ตาม พ.ร.บ. พรรคการเมือง และไม่ว่ากรณี จะเป็นเช่นใด ก็ตาม บทบัญญัติ ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มิอาจลบล้าง บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้ ข้อโต้แย้ง จึงฟังไม่ขึ้น


มติเอกฉันท์ ยุบพรรค “พลังประชาชน”


ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า ควรยุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจาก นายยงยุทธ ทำความผิด ตาม พ.ร.บ. เลือกตั้ง ซึ่งมีผลทำให้ การเลือกตั้ง ไม่เป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำ เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ การปกครองของประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นไป ตามวิถีทางที่ บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ มาตรา 237 วรรคสอง และให้ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรค และ กรรมการบริหารพรรค ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง ในขณะที่ กระทำความผิด เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ ยุบพรรค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสี่ และ มาตรา 237 วรรคสอง


รายละเอียด ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบ
“พลังประชาชน” “มัชฌิมาธิปไตย” “ชาติไทย”

วินัจฉัย “มัชฌิมาธิปไตย”


ต่อมา ตุลาการรัฐธรรมนูญได้อ่าน คำวินิจฉัยยุบพรรค มัชฌิมาธิปไตย ว่า การที่ นายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค มัชฌิมาธิปไตย มีบทบาทสำคัญ ภายในพรรค จึงมีหน้าที่สำคัญ ที่จะต้องสอดส่องดูแลกัน ในพรรคให้ สมาชิกพรรค ที่ตนบริหารอยู่ กระทำ การเลือกตั้ง โดย สุจริตและเที่ยงธรรม แต่กลับเป็น ผู้กระทำความผิดเสียเอง อันเป็น ความผิดที่ร้ายแรง และเป็นภัยคุกคาม ต่อการพัฒนา ระบอบ ประชาธิปไตย ของประเทศ กรณีจึงมีเหตุอันสมควร ที่จะต้อง ยุบพรรคการเมือง ผู้ถูกร้อง


เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน พฤติกรรม ทางการเมือง ที่ดีงาม และเพื่อให้เกิดผล ในการยับยั้ง ป้องปราม มิให้เกิดการกระทำ ผิดซ้ำขึ้นอีก


กรณีที่ ผู้ถูกร้องอ้างว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 103 ขัดต่อ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 237 นั้น เห็นว่า มาตรา 103 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว มิได้ขัด หรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ มาตรา 237 แต่เป็นบทบัญญัติ ที่สอดคล้องกัน พรรคการเมืองเป็น นิติบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย พรรคการเมือง การสิ้นสุดสภาพ นิติบุคคลของพรรคการเมือง จึงเป็นไปตามที่ กฎหมายกำหนด การยุบพรรค เป็นการสิ้นสุดสภาพ ของพรรคการเมือง ประเภทหนึ่ง ที่เป็นไปตาม บทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ได้ มิใช่ จำกัด เฉพาะกรณี ที่บัญญัติไว้ให้ใน รัฐธรรมนูญ เท่านั้น


ประเด็นที่ ผู้ถูกร้องอ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจ สั่งยุบพรรค แต่มีอำนาจสั่งให้เลิก กระทำการ ตามมาตรา 68 วรรค 3 เท่านั้น เห็นว่า การร้องขอให้ ยุบพรรคตามคำร้อง ในคดีนี้ เป็นการร้องขอให้ ยุบพรรค ตามมาตรา 237 วรรค 2 ประกอบ กับ มาตรา 68 มิใช่เป็นการร้องขอ ให้ยุบพรรค ตามมาตรา 68 เพียงลำพัง ศาลจึงมีอำนาจ วินิจฉัยยุบพรรคได้ โดยไม่จำเป็น ต้องสั่งให้เลิกกระทำการ ตามมาตรา 68 วรรค 3


สำหรับการยื่นคำร้อง ของผู้ร้องนั้น เป็นการยื่นคำร้อง ต่อศาล ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย พรรคการเมือง 2550 มาตรา 95 และได้ ดำเนินการมา โดยถูกต้องตามครรลอง แห่งข้อกำหนดของ ศาลรัฐธรรมนูญ ทุกประการแล้ว จึงเป็นการดำเนินการ ตามบทบัญญัติ ของกฎหมาย

หน.พรรคลาออก ไม่ทำให้ ฐานะ กก.บห. เปลี่ยน


สำหรับประเด็น ที่ผู้ถูกร้อง อ้างว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัช หน.พรรค ได้ลาออก ตั้งแต่ วันที่ 4 ธ.ค. 2550 แล้ว จึงถือว่า กรรมการบริหารพรรค พ้นจากตำแหน่ง แล้วนั้น เห็นว่า แม้ว่า หัวหน้าพรรคจะลาออก ทำให้กรรมการบริหารพรรค ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง แต่ตามข้อบังคับ ของพรรค ผู้ถูกร้อง พ.ศ. 2550 ข้อ 30 วรรค 5 กำหนดให้ กรรมการบริหารพรรค ทั้งหมด ยังคงต้อง ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่า นายทะเบียนพรรคการเมือง จะตอบรับ การเปลี่ยนแปลง กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เช่นนี้ จึงต้องถือว่า นายสุนทร ยังเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ถูกร้องอยู่ ในขณะ เกิดเหตุ แม้เป็นเพียง ผู้รักษาการ ก็ไม่ทำให้ ฐานะเปลี่ยนแปลงไป


ประเด็น ที่ หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร พรรคการเมือง ผู้ถูกร้อง ต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง หรือไม่


เห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 237 วรรค 2 บัญญัติว่า ในกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ ยุบพรรคการเมือง นั้น ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของ หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง ดังกล่าว มีกำหนด ระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ มีคำสั่งให้ ยุบพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการ เน้นย้ำ ตรงกับมาตรา 68 วรรค 4 ที่บัญญัติไว้ เช่นเดียวกัน บทบัญญัติดังกล่าว เป็นบทบัญญัติ ตามกฎหมายว่า เมื่อศาล มีคำสั่งให ยุบพรรคแล้ว จะต้องเพิกถอน สิทธิพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร พรรคการเมือง ในขณะที่ มีการกระทำผิด เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งศาลไม่อาจใช้ ดุลยพินิจ เป็นอื่นได้


ส่วนข้อโต้แย้งของ ผู้ถูกร้องและ ผู้เกี่ยวข้อง ที่อ้างว่า การเพิกถอน สิทธิเลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร พรรคการเมือง จะต้องเป็นกรณี ที่หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค แต่ละคน มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 98 นั้น


เห็นว่า การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคและ กรรมการบริหารพรรคการเมือง ในคดีนี้ เป็นการเพิกถอน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 3 ประกอบกับมาตรา 237 วรรค 2 มิใช่ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง และไม่ว่า กรณีจะเป็นเช่นใดก็ตาม บทบัญญัติ ของ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ก็มิอาจลบล้าง บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ได้

มติเอกฉันท์ ยุบพรรค “มัชฌิมาธิปไตย”


ข้อโต้แย้งของ ผู้ถูกร้อง และผู้เกี่ยวข้อง ในประเด็นนี้ ทั้งหมด จึงฟังไม่ขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว ข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญ โดยมติ เอกฉันท์ จึงวินิจฉัยว่า ให้ยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจาก นายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค มัชฌิมาธิปไตย กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ การได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลทำให้ การเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดย สุจริตและ เที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำ เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ประกอบมาตรา 237 วรรค 2


และให้ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย และกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งรักษาการ ในตำแหน่งดังกล่าว อยู่ ในขณะที่ กระทำความผิด เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ ยุบพรรค ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรค 4 ประกอบมาตรา 237 วรรค 2

รายละเอียด ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบ
“พลังประชาชน” “มัชฌิมาธิปไตย” “ชาติไทย”


วินิจฉัย ยุบ “ชาติไทย” – ร่ายยาว รธน. 50 คุมเข้ม ห้ามทุจริตเลือกตั้ง


ต่อมา ตุลาการรัฐธรรมนูญได้อ่าน คำวินิจฉัย ยุบพรรคชาติไทย
ประเด็นที่ 1 นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการ พรรคชาติไทย และกรรมการบริหารพรรคชาติไทย กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ประกอบ รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 หรือไม่


ประเด็นที่ 2 มีเหตุสมควร จะยุบพรรคการเมือง ของผู้ถูกร้องหรือไม่


ประเด็นที่ 3 หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร ของผู้ถูกร้อง ต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง หรือไม่


ความคิดเห็น ศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีเจตนารมณ์ ที่จะต้องการให้ การเลือกตั้ง ของประเทศ เป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีบทบัญญัติ ป้องกันการทุจริตการเลือกตั้ง ด้วยการใช้เงิน หรือทรัพย์สิน อื่นใด ซื้อสิทธิ์ ของประชาชน เพื่อให้ได้รับการเลือกตั้ง


เป็นพฤติกรรม ที่นักการเมืองส่วนหนึ่ง ใช้กันมานาน จนเป็นความเคยชิน แล้วกลายเป็นจุด เปราะบาง ทางการเมือง ที่นักการเมือง ผู้กระทำความผิด ไม่รู้สำนึกว่า เป็นการกระทำ ความผิดที่ร้ายแรง ทำให้การเมือง ในระบอบประชาธิปไตย ไม่พัฒนา ไปสู่ประชาธิปไตย อย่างแท้จริง และก่อให้เกิด ความเสียหาย แก่ประเทศ เป็นอย่างมาก


เนื่องจากนักการเมืองเหล่านั้น เข้าสู่อำนาจแล้ว ย่อมใช้อำนาจหน้าที่ แสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบ ด้วยการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยไม่มี ความละอาย เพื่อเพียงไว้ใช้ สำหรับการเลือกตั้ง ครั้งต่อไป เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ สำหรับแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบต่อไป อันเป็น วัฏจักร ทีเลวร้ายอย่างที่ ไม่มีที่สิ้นสุด


รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จึงได้กำหนด มาตรการป้องกัน และกำหนด วิธีการลงโทษ ไว้อย่างชัดเจน และ เข้มงวด เพื่อป้องกัน นักการเมือง ที่ไม่สุจริตเหล่านี้ ไม่ให้มีโอกาสเข้ามา ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย ทางการเมือง และเพื่อส่งเสริม นักการเมือง ที่ตั้งมั่นอยู่ใน สุจริตธรรม ให้ได้มีโอกาส ทำภารกิจอันเป็นประโยชน์ ไห้แก่ประเทศชาติ และประชาชน มากยิ่งขึ้น

ศาล รธน.เปลี่ยนคำสินิจฉัย กกต.ไม่ได้


ในประเด็นข้อที่ 1 นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทย กระทำความผิด ตามพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 หรือไม่


เห็นว่าประเด็นปัญหา การกระทำความผิดของ นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทย ผู้ถูกร้องนั้น ได้ผ่านกระบวนการสืบสวน สอบสวน ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง แล้ว อันเป็นการดำเนินการ ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 239 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 อันเป็นกระบวนการ องค์การ อิสระ ตามรัฐธรรมนูญ ตามอำนาจหน้าที่ ที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 239 วรรค 1 บัญญัติให้ คำวินิจฉัย ของคณะกรรมการ การเลือกตั้ง เป็นที่สุด


ศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีอำนาจ เปลี่ยนแปลง คำวินิจฉัยของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ในกรณีดังกล่าวได้ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มี คำวินิจฉัยแล้วว่า นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทย ก่อให้ผู้อื่นกระทำสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ ให้บุคคลอื่นกระทำการ ดังกล่าว อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53


ประเด็นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ได้วินิจฉัยไปแล้วนั้น เป็นประเด็นข้อเท็จจริง เกี่ยวกับคดีนี้ และเป็นประเด็น ที่อยู่ในอำนาจ การพิจารณาของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะเป็นผู้วินิจฉัย ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 239 วรรค 1 ประกอบ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 103 บัญญัติให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้วินิจฉัย ชี้ขาด ประเด็นการทุจริตเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ไว้โดยเฉพาะ


ประเด็นเรื่องข้อเท็จจริง เรื่องการกระทำของ นายมณเฑียร สงฆ์ประชา เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 หรือไม่ จึงถือเป็นที่ยุติ ตามคำวินิจฉัยของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่มีอำนาจ เข้าไปตรวจสอบ หรือเปลี่ยนแปลง คำวินิจฉัยของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังกล่าวได้ ด้วยเหตุนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จึงลงมติวินิจฉัย เป็นเอกฉันท์ ในประเด็นข้อนี้

ย้ำ กก.บห. ทำผิด สมควรต้องยุบพรรค


ประเด็นที่ 2 มีเหตุสมควร ยุบพรรคการเมือง ของผู้ถูกร้อง หรือไม่ เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 237 วรรค 2 บัญญัติไว้ เป็นการเด็ดขาดว่า ถ้ามีการกระทำความผิด ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และปรากฏหลักฐาน อันควรเชื่อได้ว่า หัวหน้าพรรคการเมือง และ กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปะละเลย หรือทราบถึง การกระทำนั้นแล้ว มิได้ยับยั้ง หรือแก้ไข เพื่อให้การเลือกตั้ง เป็นไปโดย สุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมือง นั้นกระทำการ ให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศโดยวิธีการ หรือมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่ได้บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญนี้ ตามมาตรา 68


ในกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง นั้นก็ให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง ดังกล่าว มีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งให้ ยุบพรรคการเมือง


บทบัญญัติรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นข้อสันนิษฐานของ กฎหมายที่บัญญัติ ไว้เด็ดขาดแล้วว่า หากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า หัวหน้าพรรคการเมือง หรือ กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปะละเลย หรือทราบถึง การกระทำผิด ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง นั้นแล้ว มิได้ยับยั้ง หรือแก้ไข เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไป โดยสุจริตและเที่ยงธรรม กฎหมายให้ถือว่า พรรคการเมืองนั้น กระทำการเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการ ปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ


แม้ข้อเท็จจริง พรรคการเมือง หัวหน้าพรรคการเมือง หรือ กรรมการบริหารพรรค จะไม่ได้เป็นผู้กระทำ ก็ตาม กฎหมายยังให้ถือว่า เป็นผู้กระทำ จึงเป็น ข้อเท็จจริง ที่มิอาจโต้แย้งได้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญ เอง ก็ไม่อาจวินิจฉัย เป็นอย่างอื่นได้


ทั้งนี้ เนื่องจากความผิด ในการทุจริตซื้อเสียง ในการเลือกตั้ง เป็นความผิด ที่มีลักษณะพิเศษ ที่ผู้กระทำ จะใช้วิธีการอันแยบยล จนยากที่จะจับได้ กฎหมายจึงบัญญัติให้เป็น หน้าที่ของผู้บริหารพรรค จะต้องคัดเลือก บุคคลที่เข้ามาร่วมทำงาน กับพรรค คอยควบคุมดูแล สอดส่อง ไม่ให้คน ของพรรค กระทำความผิด โดยที่บทบัญญัติ ให้พรรคการเมือง และ กรรมการบริหารพรรคการเมือง ต้องรับผิด ในการกระทำ ความผิดของ กรรมการบริหารพรรค คนที่ไปกระทำความผิดด้วย


ในทำนองเดียวกัน กับหลักความรับผิดของ นิติบุคคลทั่วไป ที่ว่า ถ้าผู้แทนของนิติบุคคล หรือผู้มีอำนาจกระทำการ แทนนิติบุคคล ไปกระทำการใด ที่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ ของนิติบุคคล นั้นแล้วก่อให้เกิด ความเสียหายแก่บุคคลอื่น นิติบุคคล จะต้องรับผิดชอบ ต่อการกระทำของผู้แทน หรือผู้มีอำนาจ กระทำการแทนนิติบุคคล นั้นด้วย จะปฏิเสธความรับผิดชอบ นี้มิได้ คดีนี้จึงถือได้ว่า มีเหตุตามกฎหมาย ที่ศาลต้องวินิจฉัย ว่า สมควร ยุบพรรคการเมือง ของผู้ถูกร้อง หรือไม่


ประเด็นที่ผู้ถูกร้อง อ้างว่า ผู้กระทำผิดตามมาตรา 237 วรรค 2 จะต้องเป็นบุคคล คนละคนกับ บุคคลที่กระทำความผิด ตามวรรค 1 และยืนยันว่า หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค คนอื่นๆ ไม่มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปะละเลย หรือทราบถึง การกระทำนั้นแล้ว ที่จะยับยั้งหรือแก้ไข ให้การเลือกตั้ง เป็นไป โดยสุจริตและเที่ยงธรรม นั้น เห็นว่า หากผู้กระผิดตามวรรค 1 เป็นกรรมการบริหารพรรค เสียเอง ย่อมเป็นประจักษ์ชัดอยู่ในตัว แล้วว่า กรรมการบริหารพรรค คนนั้นมีทั้ง เจตนาและ การกระทำผิดยิ่งกว่า เพียงรู้เห็นเป็นใจ กับผู้อื่นเสียอีก จึงย่อมไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องให้ หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค คนอื่นๆ เป็นผู้มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยละเลย หรือทราบถึง การกระทำนั้น แล้วมิได้ยับยั้ง หรือ แก้ไขให้ การเลือกตั้งเป็นไป โดยสุจริตและเที่ยงธรรม อีกต่อไป


เพราะ กรรมการบริหาร ที่กระทำความผิดตามวรรค 1 มีฐานะเป็น กรรมการบริหารพรรค ในขณะกระทำความผิด ด้วย จึงเป็นกรณีร้ายแรงกว่า กรณีบุคคลอื่น ที่มิใช่หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค เป็นผู้กระทำ อันเป็นไปตามหลัก กฎหมายที่ว่า เมื่อกฎหมาย ห้ามกระทำ สิ่งชั่วร้ายใดไว้ สิ่งที่ชั่วร้าย มากกว่านั้น ย่อมถูกอ้างไปด้วย ซึ่งตรงกับ สามัญสำนึกของ สุจริตชนโดยทั่วไป และตรงกับหลักตรรกะ ที่ว่ายิ่งต้องเป็นเช่นนั้น ข้ออ้าง ของผู้ถูกร้อง จึงฟังไม่ขึ้น

ข้ออ้าง พรรคประกาศห้าม ผู้สมัคร ทำผิด ฟังไม่ขึ้น


ประเด็นที่ ผู้ถูกร้องอ้างว่า พรรคได้กำหนดมาตรการ ป้องกันมิให้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคผู้ถูกร้อง กระทำฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ และประกาศ ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก่อนที่จะมี การประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง โดยจัดประชุม ชี้แจงให้ ผู้สมัครของพรรค ทราบแล้วนั้น เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าว แม้หากได้กระทำจริง ก็มิได้เป็นข้อยกเว้น ความรับผิด ตามกฎหมาย ในกรณีที่ กรรมการบริหารพรรค ไปทำผิดเสียเอง เพราะในกรณีเช่นนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่า มาตรการต่างๆ ที่จัดทำไปนั้น มิได้ผลบังคับใช้ แต่อย่างใด


แม้ตามคำแถลงการณ์ ของหัวหน้าพรรคการเมือง ผู้ถูกร้อง จะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ อยู่มากก็ตาม แต่เมื่อ ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า มีการกระทำผิดโดยผู้ที่เป็น กรรมการบริหารพรรค ของผู้ถูกร้องแล้ว ผู้ถูกร้อง ย่อมต้องรับผิด ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นี้ด้วย


ตามที่นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการ พรรคชาติไทย และ กรรมการบริหาร พรรคชาติไทย มิบทบาทสำคัญ ในพรรคของ ผู้ถูกร้อง จึงเป็น ผู้มีหน้าที่ควบคุม และสอดส่องดูแล ให้สมาชิกของพรรค ที่ตนบริหารอยู่ กระทำการเลือกตั้ง โดยสุจริตและเที่ยงธรรม แต่กลับเป็น ผู้กระทำความผิด เสียเอง อันเป็นความผิดร้ายแรง และเป็นภัยคุกคาม ต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ของประเทศ


กรณีจึงมีเหตุสมควร ยุบพรรคการเมือง ผู้ถูกร้อง เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน ทางการเมือง ที่ดีงามเพื่อให้เกิดผล ในทางยับยั้งป้องปราม มิให้เกิด กระทำความผิดซ้ำอีก


ประเด็นที่สาม หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร พรรคการเมือง ผู้ถูกร้อง ต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง หรือไม่


เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 237 วรรค 2 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ยุบ พรรคการเมือง นั้น ให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมกาบริหารพรรคการเมืองดังกล่าว มีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มี คำสั่งให้ยุบ พรรคการเมือง ซึ่งเป็นการเน้นย้ำ ตรงกับมาตรา 68 วรรค 4 ที่บัญญัติไว้ เช่นเดียวกัน


บทบัญญัติดังกล่าว เป็นบทบังคับตามกฎหมาย ว่า เมื่อศาลมีคำสั่ง ให้ยุบพรรคแล้ว จะต้องเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง หัวหน้าพรรคการเมือง และ กรรมการบริหารพรรคการเมือง อยู่ในขณะการทำความผิด เป็นเวลา 5 ปี ซึ่ง ศาลไม่อาจใช้ดุลยพินิจ สั่งเป็นอย่างอื่นได้


ส่วนข้อโต้แย้งของ ผู้ถูกร้องและผู้เกี่ยวข้อง ที่อ้างว่า การเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหาร พรรคการเมือง จะต้องเป็น กรณีที่หัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหาร แต่ละคน มีส่วนรู้เห็นหรือ ปล่อยปะละเลย ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย พรรคการเมืองพ.ศ. 2550 มาตรา 98 นั้นเห็นว่า


การเพิกถอนสิทธ์เลือกตั้ง หัวหน้าพรรคและ กรรมการบริหารพรรค ในคดีนี้ เป็นการเพิกถอน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรค 3 ประกอบมาตรา 237 วรรค 2 มิใช่ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง และไม่ว่า กรณีจะเป็นเช่นไร ก็ตาม บทบัญญัติ ของ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว ก็มิอาจลบล้างบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ นี้ได้ ข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้อง และผู้เกี่ยวข้อง ในประเด็นทั้งหมด จึงฟังไม่ขึ้น

มติ 8 ต่อ1 สั่ง อวสาน “พรรคชาติไทย”


ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญ โดยมติ 8 ต่อ 1 จึงวินิจฉัยว่า ให้ยุบพรรคชาติไทย เนื่องจาก นายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการ พรรคชาติไทย และ กรรมการบริหาร พรรคชาติไทย กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลทำให้ การเลือกตั้งมิได้เป็นไป โดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำ ให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ประกอบมาตรา 237 วรรค 2 และ


ลงมติ 8 ต่อ 1 ให้ เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ซึ่งดำรงตำแหน่ง อยู่ในขณะที่ กระทำความผิด เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ประกอบ มาตรา 237 วรรค 2

รายชื่อ คณะกรรมการบริหาร พรรคการเมือง ที่ถูกยุบ – เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
ขึ้นข้างบน
รายละเอียด ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบ
“พลังประชาชน” “มัชฌิมาธิปไตย” “ชาติไทย”

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว ผู้จัดการออนไลน์
2 ธันวาคม 2551 12:48 น.
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000142344


พิมพ์ ข่าวนี้ ศาล รธน.มติเอกฉันท์! สั่งยุบ “พปช.” ตัดสิทธิ กก.บห.5 ปี – “ชายอำมหิต” หลุดเก้าอี้

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

ด่วน !!! ระเบิดลงกลาง ที่ชุมนุม พันธมิตรฯ ที่ดอนเมือง ตายทันที 1 กลางดึก คีนที่พระจันทร์ ยิ้ม (ไม่ออกแล้ว)

00.42 น. 02 พ.ย. 2551


ระเบิดลงกลาง ที่ชุมนุม พันธมิตรฯ ที่ดอนเมือง
ตายทันที 1 กลางดึก คีนที่ พระจันทร์ ยิ้ม (ไม่ออกแล้ว)


หวังว่า ท่านนักวิชาการ ท่านผู้มีอำนาจ ทางสื่อสารมวลชน ทางเศรษฐกิจ ทางบริหารรัฐ ข้าราชการ ทหาร และ ตำรวจ ทั้งหลาย จะเลิกเล่าให้ ชาวไทย ที่ท่านคิดว่า โง่เง่าทั้งหลาย ฟังต่อไปว่า ประเทศเรา เสียหาย คิดเป็นมูลค่า กี่แสนล้าน หรือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ กี่ล้านคน

หรือ พวกท่านจะคิดกันได้เสียทีว่า การสูญเสีย ชีวิต แขน ขา คนไทย ผู้แสวงหาความถูกต้อง และปกป้องสถาบันของชาติ นั้น มีคุณค่า มากกว่า นักการเมืองชั่ว ที่ไม่มี ต่อมสำนึกใน คุณธรรม จริยธรรม เหล่านั้น และช่วยกรุณา หยุดความชั่วช้า ของกลุ่มฆาตกรการเมือง เสียที
(จาก เว็ปนี้)


“สัตว์นรก” เลวสุดขั้ว ลอบยิงระเบิดซ้ำใส่ “พันธมิตรฯ” ที่ชุมนุมอยู่ที่ “สนามบินดอนเมือง” ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย-บาดเจ็บระนาว คาด “ผู้บงการ” สั่งยิงบึ้ม ป่วน “พันธมิตรฯ” ก่อนศาลตัดสิน “คดียุบพรรค” 2 ธ.ค.นี้

วันนี้ เมื่อเวลา 00.15 น. รายงานข่าวแจ้งจากสนามบินดอนเมืองว่า ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ยิงระเบิดใส่ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งชุมนุมอย่างเนืองแน่น อยู่ที่สนามบินดอนเมือง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ทันที ในที่เกิดเหตุ หลายสิบราย

โดยมีผู้บาดเจ็บ 5 ราย อาการสาหัส เบื้องต้นการ์ดพันธมิตรฯ นำตัวผู้บาดเจ็บส่ง โรงพยาบาลใกล้เคียง เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ อย่างเร่งด่วนแล้ว

จากการเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตจำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นประชาชน ที่มาร่วมชุมนุม ทราบชื่อต่อมา คือ นายรณชัย ไชยศรี อายุ 24 ปี ชาวอ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา มีบาดแผล ถูกสะเก็ดระเบิดอย่างจัง บริเวณท้ายทอย

ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำส่ง รพ.มงกุฏวัฒนะ 13 ราย อาการสาหัส 1 ราย รพ.ภูมิพล 13 ราย สาหัส 2 ราย รพ.เซ็นทรัลเจเนอรัล 2 ราย


ผู้ชุมนุมรายหนึ่ง ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ พวกตนมาร่วมชุมนุมตามปกติ ปรากฏว่าระหว่างนั้น เห็นลำแสง พุ่งมาจาก ถนนวิภาวดีรังสิต ก่อนกระทบกระจกอาคารขนาดใหญ่ จนแตกละเอียด 1 บาน โดยแรงระเบิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ ดังกล่าว

ด้าน นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ และเยี่ยมอาการผู้บาดเจ็บ พร้อมทั้งให้ผู้ชุมนุมทั้งหมด มาชุมนุมที่ บริเวณเวทีปราศรัย เพราะเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุด


ส่วนการยิงระเบิดเข้าป่วน ผู้ชุมนุมในครั้งนี้ คาดว่า ผู้บงการ สั่งคนร้ายให้ยิง ระเบิดเอ็ม 79 มาจากทางด่วนโทล์เวย์ เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับ ผู้ชุมนุม ก่อนที่ ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีการแถลงปิดคดี การยุบพรรค พลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัชฌิมา ในเวลา 9.00 น. ของ วันที่ 2 ธ.ค.นี้

551000015291906

551000015291905

551000015291904

551000015291903

551000015291902

551000015291901


(ส่วนความคืบหน้า จาก เอเอสทีวี-ผู้จัดการออนไลน์ จะรายงานให้ทราบต่อไป)

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว 2 ธันวาคม 2551 01:45 น.
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000142177


พิมพ์ ข่าวนี้ “สัตว์นรก”ลอบกัดซ้ำ!ยิงบึ้มใส่“ดอนเมือง” พันธมิตรฯ ดับ 1 – เจ็บระนาว!!

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

December 1, 2008

“ทักษิณ” ตอแหล ฉบับเต็ม ถล่ม อังกฤษ จาบจ้วงไม่เลิก – “Catch me if you can” said Thaksin Shinawatra


Catch me if you can


Last week Thailand descended into chaos as tens of thousands of protesters surrounded parliament in a bid to drive out the government it accuses of being puppets of former Prime Minister Thaksin Shinawatra.

Since he was ousted in a bloodless coup in 2006, his UK visa has been revoked, his wife has divorced him and a controversial two-year jail sentence for corruption awaits him in his home country. In his first interview in 18 months, he speaks to Arabian Business.

If Thaksin Shinawatra is feeling the heat, then he’s not showing it. Thailand has an arrest warrant out for its former prime minister. The UK has just revoked his visa, and some Western countries are distancing themselves from the man they once championed as their greatest ally in Asia. And yet all Shinawatra can do is shrug.

“Do you know how many countries there are in the world? There are 197. And only 17 have an extradition treaty with Thailand,” he notes with a thin smile. “Better still, only 10 of those treaties are active. So, don’t you worry about me, I still have many places to stay.”

One such place is Dubai, where Shinawatra is resting comfortably in one of the emirate’s top five-star hotels. He might feel entitled to a break, too, as it has been a busy 2008 for the man first nominated to Thailand’s top office in a landslide election victory in 2001.

Two years ago he was overthrown in a bloodless coup while visiting the UN in New York. Exiled after months of massive anti-government protests, he ended up in the UK, where he bought Premier League football club Manchester City.

After the 2007 election, in which his new People Power Party won a healthy majority, and the forming of a new democratic government by his allies, Shinawatra returned in early 2008 to face his corruption charges in legal courts. However, he and his wife skipped bail – they were convicted in absentia, and a lengthy stay in a Bangkok jail awaits them if they return.

The UK froze his reputed $4bn of assets, forcing him to sell Manchester City to Abu Dhabi’s Sheikh Mansour. To add to his troubles, his UK visa was revoked – oh, and his wife divorced him last week.

“It’s been a busy few months,” he says, laughing at his own predicament. And it’s about to get even busier, as Shinawatra reveals he intends to make a comeback in politics, tackle global poverty, reorganise the Middle East’s healthcare system – and while he’s at it, establish a sizeable foundation to look after Asians hit by the financial crisis.

The really tricky one on the above ‘Shinawatra to-do list’ is return to politics. On October 21, 2008, five members of a nine-member special bench of the Supreme Court found him guilty of a conflict of interest and sentenced him to two years in jail.

The judges found that Shinawatra had ultimate oversight over the Financial Institutions Development Fund, a government-run agency that bought up bank collateral and mortgages. Shinawatra’s wife won a competitive auction for a piece of land owned by the FIDF in 2003, and the judges found that his wife’s purchase of the land was done on his behalf, thus constituting a conflict of interest.

Given the two-year jail term that awaits him upon his his return – not to mention a long list of political enemies who would like to see the back of him for good – a return to his homeland doesn’t sound like the wisest move.

“I have no choice,” he insists. “In the beginning after I was ousted, my wife asked me not to go back to politics. She didn’t like politics, and the whole family went through a lot of hardship so I didn’t go back.

“But now I have been cornered because the country is going down deeply,” he continues. “The confidence is not there; the trust among the foreign community is not there; the poor people in rural areas are in difficulty.

With me at the helm I can bring confidence quickly back to Thailand, and that is why we have to find a mechanism under which I can go back into politics.”

What does his wife think about this? “She has divorced me,” he responds, bluntly – end of subject.

He admits that going back now would be too risky, but insists that “time is on my side”. Last week tens of thousands of anti-government protesters marched on Thailand’s parliament.

The protesters, from the People’s Alliance for Democracy (PAD) blocked all streets leading to parliament and besieged other state buildings, forcing MPs to cancel their business, in response to a grenade attack on the protester’s camp that killed one of their supporters earlier this month.

Violence flared and as Arabian Business went to press, the head of Thailand’s army had asked the government to dissolve parliament and call new elections – circumstances hardly conducive to a return for the former prime minister.

“I can stay here and do some business, enjoy life a bit. But I have to go back for my people and my supporters, most of whom are poor or middle class,” he says.

“In the past the poor didn’t see the future – they only saw the bitter past and short present,” he continues. “After I became PM I gave them hope, I brought them freshness. They saw a future for their children to go to school and for their crops. They were happy – even taxi drivers were happy – and I brought the economy back to normal.”

But could he really be PM again? Shinawatra is adamant that it could happen.

“The coup is still there – it has been transformed from a military coup to a judicial coup,” he explains. “I think a lot depends on the power of the people – if they feel they are in hardship and they need me to help them, I will go back.

The poor have no choice but to live in a capitalist economy, but they have no capital. They have no access to it. If you give them that access, it changes everything.


“If the King feels I can be beneficial I will go back and he may grant me a royal pardon,” he continues. “If they don’t need me and the King feels I can make no difference then I will stay here and do business. I will live my life with friends.”


Today Shinawatra is in the Gulf rekindling close friendships with business and political leaders in the region. He said he has been made to feel very welcome, unlike in the UK, where many were surprised by the British government’s decision to revoke his visa. Now, he chooses his words carefully, but remains singularly unimpressed at the circumstances of his departure.

“I think the UK is a mature democratic country, and they should understand that I am the victim of the coup d’etat,” he maintains. “I am the victim of dictatorship, even though there was a court verdict.

“But that is like the fruit on the poisoned tree – the whole tree has been poisoned and I am the fruit. The tree was planted by the military coup,” he says, adding: “England must understand better but unfortunately they are now busy with their own problems so they forgot about democratic values.

“I don’t care, though – I thank them because I went there, I bought a football club then sold it and made some money in the process,” he says. “They gave me a place to stay, even though it was short-term. My children went to school there.

One day, they will understand better, and they will feel sorrow for what they have done because they have not respected their own democratic values.”

So what next for Shinawatra? Putting his political problems aside, Shinawatra is focused on tackling poverty in Asia. He speaks passionately about the plight of the poor, and details the measures he took during his reign in Thailand – and how they worked. Top of his agenda is healthcare. During his premiership, Shinawatra wasted no time in introducing a new system of blanket healthcare insurance for the equivalent of just 3 dirhams a month.

“At least 18 million poor people can now enjoy full healthcare,” he says proudly. “If they are having a baby they pay just 3 dirhams. For heart surgery, 3 dirhams. I re-managed the whole public health budget and allocated set amounts to every hospital.

“We added more equipment and built centres of excellence. Now they can get the same service as anyone else, regardless of how poor they are,” he adds.

Does he plan to do the same here? “I think if I can re-manage for the UAE government, I will do exactly the same. I will bring in the same experts who used to work with me. I will not just give treatment but also preventive measures – for example, there is a lot that can be done with nutrition and other advice on healthy living.”

Shinawatra insists that he would increase the number of family doctors available, and also establish clinics nearer to housing districts, in order to free up hospital resources and make life easier for the 80 percent of patients who do not actually require hospital treatment.

As well as improving healthcare services in the emirates, Shinawatra is also putting together his own detailed proposals for tackling poverty on a wider scale.

In particular, he wants governments to use their surpluses to create micro-loans for the poor, in the same way that they were pioneered by Nobel Prize winner Muhammad Yunus, in Bangladesh.

Thailand’s People Bank, giving the poor small loans at just 2.5 percent, has been a huge success and Shinawatra wants to extend the principle across Asia.

In order to achieve this dream, he has launched a new foundation, named ‘Building a Better Future’.

“What does the capitalist economy mean? It means you need capital to create wealth,” he explains. “The poor have no choice but to live in a capitalist economy, but they have no capital. They have no access to it. If you give them that access, it changes everything.”

Shinawatra insists that the poverty issue is one that has been “misunderstood” in the past. “Most countries are run by veteran politicians who only have experience of politics,” he points out. “What is missing is management. Politics is about power and law – politicians don’t understand how to run an organisation.

“As an experienced businessman I think I bring some modern management to the government,” he continues. “It proved to work well in Thailand but they didn’t let me stay that long. If I had stayed the full eight years I think I could have made a big difference.”

With so much on his agenda, it is hard to say what the future holds for Thaksin Shinawatra. He expresses deep gratitude to Abu Dhabi’s HH Sheikh Mansour for engineering the takeover of Manchester City, saying he sold a club but gained “a great friend”. Above all, though, he is looking to go home. He makes no apologies, and has no regrets, about the past.

“I cannot live in my own country. There were many assassination attempts, and my family has been broken up because we all have to live in different countries. I regret the result, but not what I have done. You see, I love the Thai people.”


Story by Anil Bhoyrul on Sunday, 30 November 2008


logo_arabianbusiness URL of this Article http://www.arabianbusiness.com/539714-catch-me-if-you-can



Related Story : Click ที่นี่ – “แม้ว” อัดยับ ผู้ดีไม่เคารพ ปชต.ต้นแบบตัวเอง ฝันกลับไทยสู้การเมือง! – Ex-Thai PM hits out at UK from 24 Nov 08


ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

November 30, 2008

ด่วน !!!! สัตว์นรก ปาระเบิด M79 ใส่เวทีทำเนียบฯ พธม. บาดเจ็บ 51 โดยสาหัสไม่ต่ำกว่า 4 คน!

551000015205906
551000015205905
551000015205904
551000015205903


ประมวลภาพ จาก ทำเนียบ ทื่เกิดเหตุระเบิด ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2551 01:28 น.

สัตว์นรกกัดไม่ปล่อยปาระเบิดใส่เวทีทำเนียบฯ พธม.เจ็บ!

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 30 พฤศจิกายน 2551 00:12 น. updated 01:17 น.

สัตว์นรกกัดไม่เลิก! ปาระเบิดใส่พันธมิตรฯ ใกล้เวทีภายในทำเนียบรัฐบาล บาดเจ็บรายหลาย เบื้องต้นไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต การ์ดพันธมิตรฯ รีบนำตัวผู้บาดเจ็บ ส่งโรงพยาบาล ไม่หนำใจ ลอบยิงระเบิดใส่ “เอเอสทีวี” อีก

วันนี้(29 พ.ย.)เมื่อเวลา 23.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุ คนร้ายลอบยิงระเบิด ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ใกล้เวที ทำเนียบรัฐบาล จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ จำนวนหลายราย โดยขณะนี้ การ์ดพันธมิตรฯ กำลังนำตัวผู้บาดเจ็บส่ง โรงพยาบาล และในจำนวนผู้บาดเจ็บ มีช่างกล้องของ เอเอสทีวีด้วย

จากการตรวจสอบ ในที่เกิดเหตุบริเวณหลังคาเต้นท์ มีรอยถูกยิงเป็น ช่องโหว่ขนาดใหญ่ ห่างจากเวที ประมาณ 20 เมตร ส่วนบริเวณพื้น ในที่เกิดเหตุ พบสะเก็ดระเบิดเป็น เศษอลูมิเนียม พลาสติก และรอยเลือด โดยผู้ชุมนุมบาดเจ็บเล็กน้อย 47 คน


อาการสาหัส อยู่ห้องไอซียู จำนวน 4 คน คือ
1.นางสาวกาญจนา หมื่นหนู อายุ 27 ปี มีอาการปอดฉีก แพทย์ต้องปั้มหัวใจ
2.นางจิตรา จินตนธรรม อายุ 57 ปี
3.นางสาวสุพรรณา ไม่ทราบนามสกุล และ
นางเพียงใจ ไม่ทราบนามสกุล

ซึ่งหลังเกิดเหตุแพทย์อาสาและ การ์ดพันธมิตรฯได้ทยอยนำผู้บาดเจ็บทั้งหมด ส่งรพ.รามาธิบดี รพ.พระมงกฎเกล้าฯ และรพ.วชิระ

นางสาวหทัยรัตน์ (ขอสงวนนามสกุล)อายุ 36 ปี ผู้บาดเจ็บ ที่อยู่ในเหตุการณ์ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุ ตนนั่งอยู่ ห่างจุดที่ระเบิดลง ประมาณ 5 เมตร โดยนั่งอยู่กับ เพื่อน 3-4 คน ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่ม จนถึงช่วงที่เกิดเหตุ ตนเห็นแสงไฟแลบ และระเบิดดังสนั่น

ผู้ชุมนุมต่างก้มหมอบลงกับพื้น โดยตนถูกสะเก็ดระเบิด ที่แขนขวา บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกัน ได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณหลังมีเลือดไหล หลังจากนั้น แพทย์ก็ได้มาช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาล

จากการสอบถาม การ์ดพันธมิตรฯ คาดว่า คนร้ายยิงเอ็ม 79 เข้ามา เหมือนระเบิดครั้งก่อน และเป็นจุดใกล้เคียง ที่ทำให้ นายเจนกิจ กลัดสาคร พันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย จ.ชลบุรี เสียชีวิตจาก เหตุการณ์ระเบิดใน ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเช้ามืดวันที่ 20 พ.ย. 2551

เบื้องต้นสันนิษฐานว่า คนร้าย น่าจะยิงมาจากทางบริเวณ ด้านข้าง ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์เพื่อการเกษตร (ธกส.) ใกล้อาคารก่อสร้าง ของ เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพณิชยการพระนคร หรือบริเวณตรอกใกล้ วัดเบญจมบพิตร โดยปืนชนิดเอ็ม 79 นั้น เป็นอาวุธสงครามที่ ตำรวจตระเวนชายแดน มีความถนัดและชำนาญ ในการใช้มากที่สุด


หลังจากนั้นเมื่อเวลา 00.15 น.ที่ผ่านมา คนร้ายได้ยิงระเบิดเข้าใส่สำนักงานเอเสทีวีที่บ้านเจ้าพระยาถนนพระอาทิตย์ จำนวน 2 ลูก พร้อมกับยิง อาวุธสงคราม เข้าใส่จาก ทางแม่น้ำเจ้าหลายนัด หลังจากนั้น มีเสียงยืนปืนตอบโต้กันไปมา เป็นเวลาประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะเงียบเสียงไป

หลังจากนั้นเมื่อเวลา 00.15 น.ที่ผ่านมา คนร้ายได้ยิงระเบิดเข้าใส่ สำนักงานเอเสทีวีที่บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. จำนวน 2 ลูก พร้อมกับยิง อาวุธสงคราม คาดว่าเป็นปืนอาก้า เข้าใส่จาก ทางแม่น้ำเจ้าหลายนัด

จากการสอบถาม นายสมเจตน์ ศาลาวงศ์ อปพร. ประจำจุดท่าพระอาทิตย์ ซึ่งทำหน้าที่ อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ กล่าวว่าคนร้าย ที่ลอบก่อเหตุ นั่งเรือมา กัน 2 ลำ โดยอาศัยอำพราง กับความมืด ล่องเรือทาง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณด้านหลัง สำนักงานเอเอสทีวี ก่อนที่จะยิงระเบิดใส่ สำนักงานเอเสทีวี 2 ลูก และยิงอาวุธปืน ใส่อีกหลายนัด จนเสียงดังสนั่น ก่อนที่จะนั่งเรือ หลบหนีไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของสำนักงานเอเอสทีวี ได้เพิ่มมาตราการ รักษาความปลอดภัย โดยการนำ แผงเหล็กมากั้น ปิดถนนพระอาทิตย์ บริเวณด้านหน้า สำนักงานเอเอสทีวี อีกด้วย

ต่อมาเมื่อเวลา 00.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ชนะสงคราม นำโดย พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม ได้เดินทาง มาดูที่เกิดเหตุ กล่าวเพียงสั้นๆว่า มีแต่เสียงดัง ไม่มีผู้บาดเจ็บ จึงสั่งให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงบันทึกประจำวัน เอาไว้ โดยเช้าวันนี้ จะมาดูจุดเกิดเหตุ อีกครั้ง เพื่อหา ร่องรอย เหตุระเบิดครั้งนี้

ปรับปรุงจาก ข่าว และ ภาพ ของ สำนักข่าว 30 พฤศจิกายน 2551 00:12 น.
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000141379


พิมพ์ ข่าวนี้ สัตว์นรกกัดไม่ปล่อยปาระเบิดใส่เวทีทำเนียบฯ พธม.เจ็บ!

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

November 29, 2008

ตำรวจใช้ข่าวลวง หลอกว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง 9.20 น. แต่เริ่มปะทะประชาชนอีกแล้ว


10.19 สนธิแถลง สดผ่าน ASTV เตรียมสู้ตาย
พร้อมรับมือการที่ ตำรวจเตรียมบุกยึด ระงับการถ่ายทอด
ระบุ ทักษิณ นั่งบัญชาการจาก Hongkong


Click Here ดูที่นี่
ทักษิณ นั่งบัญชาการจาก Hongkong


เมื่อเวลา 9.20 น. ตำรวจ 200 เริ่มปะทะ


ประชาชน 2000 ที่ทางขึ้นชั้น 4 สนามบินสุวรรณภูมิ


ลุงจำลอง บัญชาการ เรียกชุมนุมพล พันธมิตรให้


ทั้งหมดมาที่ทำเนียบ ใช้เป็นศูนย์กลาง สงครามครั้งสุดท้าย


ASTV อาจถูกตัดสัญญาณ


ระวัง โกวิท ปล่อยข่าวลวง

ใช้ [ปุ่มถอยหลัง] ของเว็บบราวเซอร์ เพื่อกลับมาที่นี่ จากข้อมูลเชื่อมโยงด้านล่าง
Use Browser [Back] Button Return to Here from URL Below

« Previous PageNext Page »

Blog at WordPress.com.