ไม่น่าเชื่อว่า แค่เห็น “กองวินัย” ชง เรื่องถอดยศ “พ.ต.ท.”ของ “ทักษิณ” เหล่าคนรอบข้าง ทั้งอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทย ทั้งทีมกฎหมาย ของ “นายใหญ่” ต่างพากันโวยวาย
รับไม่ได้ที่ “นาย” จะเหลือคำนำหน้า แค่ “นาย” ทั้งที่รู้ว่า พฤติกรรม และ ความผิดของ “นาย” เข้าข่าย ต้องถูก ถอดยศ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังพาล หาเหตุมาอ้าง และ ปกป้อง “นาย” อย่างไม่ลืมหูลืมตา ลองมาดูกันว่า เหตุผลที่ คนเหล่านี้ ยกขึ้นมาอ้าง มีอะไรบ้าง และ ฝ่ายต่างๆ ในสังคม มองเรื่อง การถอดยศ ทักษิณ และ การยึด เครื่องราชอิสริยาภรณ์ คืน จาก นักโทษหนีคดี ผู้นี้ อย่างไร
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายงานพิเศษ
จาก manager multimedia
คงยังจำกันได้ถึง วันประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนสถานะของ อดีตนายกฯ อย่าง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จาก “จำเลย” ในคดี ซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ มาเป็น “นักโทษ” ที่หนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี
วันนั้น 21 ต.ค. 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษา ชี้ความผิด ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่รู้เห็นเป็นใจ และ ใช้ตำแหน่ง นายกฯ เอื้อให้ คุณหญิงพจมาน ภริยา (จำเลยในคดีนี้เช่นกัน) ซื้อที่ดิน ย่านรัชดาฯ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และ พัฒนา ระบบสถาบัน การเงิน ในราคาต่ำ
![0005-552000000449106 ม็บรักทักษิณ ถืป้ายเหน็บแนมศาล ที่หน้าศาลฎีกาฯ วันพิพากษา คดีซื้ที่รัชดาฯ (21 ต.ค.51)](https://accomthailand.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/01/0005-552000000449106.jpg?w=340&h=213)
ม็อบรักทักษิณ ถือป้ายเหน็บแนมศาล ที่หน้าศาลฎีกาฯ วันพิพากษา คดีซื้อที่รัชดาฯ (21 ต.ค.51)
โดยศาลฎีกาฯ ระบุว่า “ขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น นายกฯ มีอำนาจบารมี เหนือ รัฐมนตรี และ มีอำนาจทาง การเมือง สูง อีกทั้งฐานะ การเงิน มั่งคั่ง ซึ่งตามหลักธรรมาธิบาล แล้ว นายกฯ ภริยา หรือ บุตร ไม่สมควรเข้าไป ประมูลซื้อที่ดิน ดังกล่าว เพราะการซื้อได้ราคาต่ำ ส่งผลให้ กองทุนฯ มีรายได้ น้อยลง
ขณะที่ คุณหญิงพจมาน (จำเลยที่ 2) ก็มี ผู้รู้จัก จำนวนมาก ประกอบกับ ข้าราชการ มีค่านิยม จำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้น ยังอยู่ในฐานะที่อาจ ให้คุณให้โทษ ทางราชการได้ และ เมื่อปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้บัตรประจำตำแหน่งนายกฯ ลงนามยินยอมให้ คุณหญิง พจมาน ทำสัญญา ซื้อขายที่ดิน ย่อมถือได้ว่าเป็นการเข้าทำสัญญา ด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 100(1) วรรคสาม
ส่วนที่ พ.ต.ท. ทักษิณ อ้างว่า การลงชื่อยินยอม เป็นเพียงการทำ ตามระเบียบราชการ แต่ พ.ต.ท. ทักษิณ ก็ไม่มีหลักฐานมาแสดง ให้เห็นว่า ไม่มีส่วน รู้เห็น ต่อการซื้อขายแต่อย่างใด องค์คณะ จึงมีมติ 5 ต่อ 4 เห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช.มาตรา 100(1) วรรคสาม และ ต้องรับโทษตามมาตรา 122”
ศาลฎีกาฯ ยังระบุถึงเหตุผล ที่ไม่รอ การลงโทษจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า “ขณะเกิดเหตุ จำเลย เป็น นายกฯ ได้รับมอบหมายให้ บริหารราชการ แผ่นดิน เพื่อประโยชน์สูงสุด แก่ ทางราชการ และ ประชาชน แต่ จำเลย กลับฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งที่เป็น หัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัว ให้เป็น แบบอย่าง ที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงาม ตามจริยธรรม ของ นักการเมือง ให้เหมาะสม กับที่ ได้รับความไว้วางใจใน ตำแหน่งหน้าที่ อันสำคญยิ่ง จึงไม่สมควร รอการลงโทษ พิพากษาให้ จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี”
ปกติแล้ว เมื่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่าอย่างไร จะถือเป็นที่สุด จำเลย ไม่มีสิทธิ์ อุทธรณ์ใดใดอีก แต่เพราะ รัฐธรรมนูญ ปี 2550 (มาตรา 238 วรรค 3) เปิดช่องให้ จำเลย อุทธรณ์ได้ หากมี “พยานหลักฐานใหม่ ที่อาจทำให้ ข้อเท็จจริง เปลี่ยนแปลงไป ในสาระสำคัญ”
พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมีเวลา อุทธรณ์ 30 วัน แต่เมื่อครบกำหนด 19 พ.ย. เขาก็ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์นั้น อาจเพราะจำนนด้วย หลักฐาน และ ไม่มี พยานหลักฐานใหม่ ที่จะมา อุทธรณ์ นั่นเอง!
การที่ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นถึง อดีตนายกฯ แต่กลับใช้ตำแหน่งนั้น ในทางมิชอบ ด้วยการเอื้อประโยชน์ให้ บุคคลในครอบครัว กระทั่งถูก ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก ส่งผลให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่เหลือเครดิตอีกต่อไป
ขนาด ประเทศอังกฤษ ยังประกาศ ถอนวีซ่าของ พ.ต.ท. ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ไม่ให้เดินทางเข้าประเทศอีก ขณะที่ในไทยเอง ก็เริ่ม มีเสียงเรียกร้อง ว่า เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิ ของตำแหน่งนายกฯ แล้ว เขายังสมควร จะได้ครอง “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ที่ได้รับพระราชทานในฐานะ นายกฯ อยู่อีกหรือ ถึงเวลาที่จะต้อง ยึดคืนเครื่องราชฯ เหล่านั้นหรือยัง และ การที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ครองยศ ตำรวจ อยู่ด้วย แต่กลับประพฤติตน ไม่เหมาะสมแก่ เกียรติศักดิ์ ของ ตำรวจ กระทำการมิชอบจนถูก ศาลพิพากษา จำคุก เท่ากับนำความเสื่อมเสียมาสู่ วงการตำรวจนั้น ยังสมควรจะ ครองยศ “พ.ต.ท.” อยู่อีกหรือไม่?
ซึ่งสื่อหลายสำนักได้ค้น ระเบียบ-กฎหมาย เกี่ยวกับการยึดคืนเครื่องราชฯ และ การถอดยศตำรวจ มาตีแผ่ให้สังคม ได้ทราบว่า กรณีของ พ.ต.ท. ทักษิณ เข้าเงื่อนไขดังกล่าว หรือไม่ ซึ่งปรากฏว่า เข้าทั้ง 2 กรณี
โดยกรณีของ การยึดคืนเครื่องราชฯ นั้น มีระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วย การขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต เรียกคืน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ ในฐานะนายกฯ ขณะนั้น เป็นผู้ลงนามเอง เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2548 ( ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 18 ส.ค. 2548 )
ซึ่งระเบียบดังกล่าวได้กำหนด เงื่อนไขไว้ 8 ข้อ ที่เข้าข่ายต้องเรียกคืน เครื่องราชฯ ประกอบด้วย
(1) เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ ประหารชีวิต
(2) เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ จำคุก เว้นแต่ในความผิด อันได้กระทำ โดยประมาท หรือ ความผิดลหุโทษ
(3) เป็นผู้ต้องคำพิพากษาหรือ คำสั่งของศาล ให้ทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือมี ทรัพย์สิน เพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือเพราะ กระทำความผิด ตามกฎหมายว่าด้วย การป้องกัน และ ปราบปราม การฟอกเงิน
(4) เป็นผู้ถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือ ให้ออก เพราะกระทำผิดวินัย ตามกฎหมายว่าด้วย ระเบียบข้าราชการพลเรือน หรือ ตามกฎหมาย อื่น โดยคำสั่ง อันถึงที่สุด
(5) เป็นผู้ถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือ ให้ออก เพราะกระทำผิดวินัย จาก รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานอื่น ของรัฐ โดยคำสั่งอันถึงที่สุด
(6) เป็นผู้ถูกถอดถอน ออกจากตำแหน่ง ที่ดำรงอยู่ เพราะมี พฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำความผิดต่อ ตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่า กระทำความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรม หรือ จงใจ ใช้อำนาจหน้าที่ ขัดต่อ รัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมาย
(7) เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้เป็น บุคคลล้มละลาย ทุจริต ตามกฎหมาย ว่าด้วยล้มละลาย
(8 ) เป็นผู้ประพฤติตน ไม่สมเกียรติ หรือนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ไปใช้ ในกรณีไม่สมควร
ซึ่งชัดเจนว่า กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าข่าย ข้อ 2 อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ จำคุก และ ดีไม่ดี อีกหน่อย อาจจะเข้าข่าย ข้อ 3 ด้วย ถ้า ศาลฎีกาฯ พิพากษาให ้ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ฐานร่ำรวยผิดปกติ
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ ผู้เกี่ยวข้อง ดำเนินการถอดยศ และ ยึดคืนเครื่องราชฯ จาก พ.ต.ท. ทักษิณ แต่เรื่องก็เงียบในสมัย รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท. ทักษิณ กระทั่ง เปลี่ยนรัฐบาลมาเป็น รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเริ่มมีความคืบหน้าบ้างแล้ว ในส่วนของ การถอดยศ
![0006-552000000449107 พล.ต.�.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ชี้ การถ�ดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่�งละเ�ียด�่�น ต้�งพิจารณา�ย่างร�บค�บ](https://accomthailand.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/01/0006-552000000449107.jpg?w=300&h=306)
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ชี้ การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
โดยเมื่อ วันที่ 8 ม.ค. พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บังคับการ กองวินัย เผยว่า กองวินัย ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า กรณีของ พ.ต.ท. ทักษิณ เข้าเงื่อนไข องค์ประกอบ ตามระเบียบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วย การถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 เนื่องจาก ถูกศาลพิพากษาจำคุก และ คดีถึงที่สุดแล้ว จึงได้ส่งเรื่องไปยัง กองกำลังพล เมื่อวันที่ 5 ม.ค. และว่า ขั้นตอนต่อไป ทาง กองกำลังพล จะต้องประมวลเรื่อง เพื่อเสนอไปยัง พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการ ถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ต่อไป
ด้าน พล.ต.ต. ชนาภัทร เชยสมบัติ ผู้บังคับการ กองกำลังพล บอกว่า ได้รับเรื่องจาก กองวินัย แล้วเมื่อ วันที่ 7 ม.ค. และ ว่า กองกำลังพล ต้องนำมา พิจารณาประมวลว่า กรณีดังกล่าว เข้าระเบียบเกี่ยวกับ กำลังพล หรือไม่
โดย กองกำลังพล จะทำไปตามขั้นตอน พร้อมยืนยันว่า จะไม่มีการยื้อ หรือ ประวิงเวลา แต่ขอเวลา ประมวลเรื่อง 1-2 วัน จากนั้น จะเสนอ พล.ต.อ. พัชรวาท เพื่อพิจารณา ดำเนินการ ตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูเหมือนจะหนักใจ กับเรื่อง การถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ โดยบอกว่า ยังไม่เห็น เรื่องนี้ เสนอขึ้นมา และ ว่า เรื่องนี้เป็น เรื่องละเอียดอ่อน ต้องให้ เจ้าหน้าที่ ไปพิจารณา ทุกแง่ทุกมุม ให้เกิดความชัดเจน ต้องดูเจตนาของ ระเบียบ และ รายละเอียดของระเบียบว่า เขียนไว้อย่างไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ ต้องพิจารณา อย่างรอบคอบที่สุด
![0003-552000000449104 วิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความข�ง พ.ต.ท.ทักษิณ �้าง การถ�ดยศทักษิณ เป็นการจ�งเวรไม่เลิก](https://accomthailand.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/01/0003-552000000449104.jpg?w=200&h=231)
วิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้าง การถอดยศทักษิณ เป็นการจองเวรไม่เลิก
ทั้งนี้ หลังมีข่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมพิจารณาเรื่อง ถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ปรากฏว่า ทีมทนาย และ โฆษกส่วนตัว ของ พ.ต.ท. ทักษิณ รวมทั้ง ส.ส. พรรคเพื่อไทย ต่างอยู่ไม่เป็นสุข และ พร้อมใจกัน ออกมาโวยวาย แทน พ.ต.ท. ทักษิณ โดย
นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตแกนนำ พรรคไทยรักไทย ปัจจุบันเป็น ทนายความ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ รีบออกมาบอกว่า การจะถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ เหมือนเป็นการ จองเวร พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่เลิก พร้อมอ้างว่า เรื่องนี้ ฝ่ายกฎหมาย ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ตรวจสอบ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และ ระเบียบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้ว พบว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย เรื่องการถอดยศนายตำรวจ นั้น เพื่อใช้ดำเนินการกับ ตำรวจ ที่ได้สร้าง ความเสียหาย เสื่อมเสียแก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยสร้างความเสียหายให้ สตช. ซ้ำยังสร้าง ความดีงามให้ สตช. มากมาย
นายวิชิต ยังชี้ ด้วยว่า คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลสั่งจำคุก ไม่ใช่ คดีอาญา ปกติ แต่เป็น คดีการเมือง ซึ่งที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่า มีใครถูก ถอดยศ จาก คดีการเมือง นายวิชิต ยังตั้งข้อสังเกต การเดินหน้า เรื่องถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ด้วยว่า เพราะตำรวจ ที่ดำเนินการเรื่องนี้ (พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผบก.กองวินัย) นามสกุลเดียวกับ นักการเมืองใหญ่ใน พรรคประชาธิปัตย์ ใช่หรือไม่
![0001-552000000449102 นพดล ปัทมะ �ดีตที่ปรึกษากฎหมายข�ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้ การถ�ดยศ เท่ากับต้�งการไล่บดขยี้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณหมดหนทางต่�สู้](https://accomthailand.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/01/0001-552000000449102.jpg?w=312&h=419)
นพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้ การถอดยศ เท่ากับต้องการไล่บดขยี้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณหมดหนทางต่อสู้
ด้าน นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่า พล.ต.ต.ปัญญา เป็นญาติกับตนจริง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยสั่ง หรือ ขอร้องให้ ดำเนินการเรื่องนี้ พร้อมยืนยัน พล.ต.ต.ปัญญา ไม่เคยมาปรึกษา ดังนั้น จึงไม่ใช่ การกลั่นแกล้ง ทางการเมือง แน่นอน
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ก็ยืนยันว่า การพิจารณา ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องของฝ่าย ที่ต้องดำเนินการ ตามระเบียบ ไม่ได้มี การส่งสัญญาณใดใด ทั้งสิ้น และ ไม่ทราบว่า เรื่องนี้จะได้ข้อยุติอย่างไร ส่วนความเป็นไปได้ ในการขอคืน เครื่องราชฯ จาก พ.ต.ท. ทักษิณ นั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ยังไม่เห็นเรื่อง แต่ทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามระเบียบ ระเบียบว่าอย่างไร ก็เอาตามนั้น ไม่มีการละเว้น และ กลั่นแกล้ง
ด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกมาปกป้องนาย โดยข้องใจว่า ระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่องการถอดยศ มีการบังคับใช้อย่างเสมอภาคหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา ไม่เห็นเคยมีข่าวการถอดยศตำรวจ ทั้งที่บางคนกระทำผิดร้ายแรงกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อีก
ขณะที่ นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ก็รีบออกมาชี้เช่นกันว่า การที่ ตำรวจ จะพิจารณาถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ เห็นชัดเจนว่า ต้องการไล่บดขยี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้หมดหนทางต่อสู้ ซึ่งถือว่า ไม่เหมาะสม เพราะ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นถึง อดีตนายกฯ เคยทำ คุณประโยชน์มากมาย ให้บ้านเมือง นายนพดล ยังฝากถึง ตำรวจ และ ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ในขณะนี้ ด้วยว่า “คนล้มอย่าข้าม”
![0004-552000000449105 ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่�ไทย เตรียมถาม รัฐบาล จะแก้ปัญหา�ย่างไร ถ้าคนรักทักษิณ ไม่พ�ใจ การถ�ดยศ](https://accomthailand.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/01/0004-552000000449105.jpg?w=220&h=220)
ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เตรียมถาม รัฐบาล จะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าคนรักทักษิณ ไม่พอใจ การถอดยศ
ด้าน ร.ต.ท. เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็ได้เตรียม ยื่นกระทู้ถาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในการประชุมสภา สมัยสามัญ ที่จะมีขึ้น ในวันที่ 21 ม.ค. นี้ โดย 1 ใน 3 ประเด็น ที่ ร.ต.ท.เชาวริน จะถาม ก็คือ รัฐบาล จะแก้ปัญหาอย่างไร หากการถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ส่งผลให้ ประชาชนที่ยัง รักและศรัทธา ต่อผลงานของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ออกมาประท้วง หรือ แสดงความไม่เห็นด้วย กับ การดำเนินการ ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ขณะที่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็พูดถึง การเสนอถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ว่า แม้ในระเบียบ สามารถกระทำได้ แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งนี้ ร.ต.อ. เฉลิม อ้างว่า การถอดยศ จะทำได้กับ ตำรวจ ที่ยังรับราชการอยู่ เท่านั้น โดยประพฤติชั่วร้าย หรือ เป็นเรื่องทุจริต ต้องจำคุก แต่กรณี ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ออกจากราชการ มานานกว่า 30 ปีแล้ว และที่สำคัญ ร.ต.อ. เฉลิม ย้ำว่า คำสั่งของ ศาลฎีกาฯ ในคดีทุจริต ซื้อขายที่ดินรัชดาฯ ไม่เข้าข่าย ที่จะนำมากล่าวอ้างว่า มีการกระทำทุจริต
ร.ต.อ. เฉลิม ยังชี้ด้วยว่า หากรัฐบาล ดำเนินการ เรื่องถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ จะถือเป็นการเลือกปฏิบัติ ใช้อารมณ์กลั่นแกล้ง และ จะยิ่งสร้าง ความแตกแยก ให้บ้านเมืองมากขึ้น เพราะเมื่อเทียบกับ กรณีของ พล.ต.ท. ชลอ เกิดเทศ (ผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่า แม่ลูก ตระกูลศรีธนะขันฑ์ ที่ศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต) และ นายตำรวจคนอื่นๆ ที่ถูกจำคุก นานถึง 14 ปี กลับไม่มีการถอดยศ
![552000000449101 ร.ต.�.เฉลิม �ยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่�ไทย บิดเบื�นข้�เท็จจริง ด้วยการ�้างว่า การถ�ดยศ จะทำเฉพาะกับ ตร.ในราชการ เท่านั้น](https://accomthailand.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/01/552000000449101.jpg?w=310&h=315)
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย บิดเบือนข้อเท็จจริง ด้วยการอ้างว่า การถอดยศ จะทำเฉพาะกับ ตร.ในราชการ เท่านั้น
ทั้งนี้ หากพิจารณาคำอ้างของ ร.ต.อ. เฉลิม ที่ว่า “การถอดยศตำรวจ จะทำกับตำรวจ ที่ยังรับราชการอยู่เท่านั้น” จะพบว่า เป็นการอ้างเท็จ เพราะระเบียบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วย การถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ที่ออกตาม พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 สมัย พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ เป็น ผบ.ตร. ระบุไว้ชัดว่า การเสนอถอดยศสามารถ ดำเนินการได้ ทั้งกับ ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และ ที่พ้นจาก ราชการตำรวจ ไปแล้ว โดยกำหนดเงื่อนไข การกระทำ ที่เข้าข่ายถูกเสนอถอดยศไว้ 7 ข้อ ประกอบด้วย
(1) ต้องคำพิพากษาของศาล ถึงที่สุด ว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะ พิพากษารอการกำหนดโทษ หรือ กำหนดโทษ แต่รอการลงโทษไว้ ก็ตาม
(2) ต้องคำพิพากษาของศาล ถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุก หรือ โทษที่หนักกว่า จำคุก เว้นแต่ ความผิดลหุโทษ หรือ ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
(3) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะก่อให้เกิดหนี้สินขึ้น โดยทุจริต
(4) กระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และ มีคำสั่งลงโทษไล่ออก จากราชการ
(5) ประพฤติชั่วร้ายแรง สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการ หรือ หน่วยงานของรัฐ
(6) ต้องหาในคดีอาญา แล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการ หรือ หน่วยงานของรัฐ
(7) ถูกสั่งให้ออกจากราชการ เพราะขาดคุณสมบัติ มาตั้งแต่ก่อนได้รับการบรรจุเป็น ข้าราชการตำรวจ
ซึ่งชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าข่ายถูกถอดยศ ทั้งตามข้อ 2 และข้อ 6 คือ ต้องคำพิพากษาของศาล ถึงที่สุดให้ ลงโทษจำคุก และ ต้องหาใน คดีอาญา แล้วหลบหนีไป
การกล่าวอ้างของ ร.ต.อ.เฉลิม จึงเข้าข่ายเจตนา บิดเบือนข้อเท็จจริง ต่อสาธารณชน เพียงเพื่อปกป้อง หรือ ช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น
เห็นปฏิกิริยาของ บรรดาแกนนำ พรรคเพื่อไทย และ คนรอบข้าง พ.ต.ท. ทักษิณ แล้ว ลองมาฟังมุมมองของ ฝ่ายอื่นๆ ในสังคมกันบ้างว่า จะรู้สึกอย่างไรกับ การถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ รวมถึง การยึดคืน เครื่องราชฯ ด้วย
พล.ต.ท. สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ให้สัมภาษณ์ วิทยุผู้จัดการ โดยยืนยันว่า พ.ต.ท. ทักษิณ สมควรถูกถอดยศ เพราะเข้าหลักเกณฑ์ ระเบียบของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชัดเจน ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ และ หากผู้เกี่ยวข้อง ไม่ดำเนินการ ก็จะถูกดำเนินคดี ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ หาก ผบ.ตร. ไม่ดำเนินการ ผบ.ตร. ก็อาจจะต้องติดคุกแทน
เมื่อเข้าหลักเกณฑ์แล้ว เจ้าหน้าที่เขาไม่ทำเนี่ย เขาก็มีความผิด และ เขาก็ต้อง ถูกออกจากราชการ และ เขาก็ต้องถูก ดำเนินคดี ละเว้นการปฏิบัติ ตามหน้าที่
(ถาม – แต่ดูเหมือนสุ้มเสียง ของ พล.ต.อ. พัชรวาท จะค่อนข้างหนักใจ บอกว่า เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ?)
ไม่มีคำว่า ละเอียดอ่อน หรอกครับ มียศแบบนี้ แล้วผิดระเบียบอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องละเอียดอ่อน ถ้า ท่านพัชรวาท ไม่ดำเนินการ พัชรวาท ก็เข้าคุกแทน ถูกมั้ย ชัดเจนอยู่แล้ว ผมไม่ได้มองคำว่า ละเอียดอ่อน เลย
![0002-552000000449103 พงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ข้�งใจ มีการเลื�กปฏิบัติกับ พ.ต.ท.ทักษิณหรื�ไม่ในการถ�ดยศ](https://accomthailand.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/01/0002-552000000449103.jpg?w=200&h=284)
พงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ข้องใจ มีการเลือกปฏิบัติกับ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ในการถอดยศ
(ถาม – คุณพงศ์เทพ โฆษกส่วนตัว คุณทักษิณ บอกว่า ที่ผ่านมา เห็นตำรวจ ทำผิดร้ายแรงกว่า คุณทักษิณ ไม่เห็นถูกถอดยศเลย?)
ต้องคดีสิ้นสุดนะ อย่างคุณทักษิณ คดีเรื่องนี้เนี่ย มันสิ้นสุดไปแล้ว
(ถาม – มีคนยกตัวอย่างว่า ทำไม พล.ต.ท ชลอ เกิดเทศ ถึงไม่ถูกถอด?)
อันนี้คดียังไม่สิ้นสุดฮะ อันนี้ ไม่ต้องมาเปรียบเทียบเลย เรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุด
(ถาม – บางคนบอกว่า เพราะคุณทักษิณถูกจับตา อยู่ในความสนใจ ก็เลยต้องถอดยศใช่มั้ย?)
ผมว่า ข้อที่ 1 มันเป็นระเบียบ ข้อที่ 2 การเป็นนายกฯ ก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย ถ้าหากว่าคนดังๆ ไม่ทำเป็นตัวอย่าง ก็ทำให้คนอื่นๆ ที่เป็น ข้าราชการ เนี่ย ก็ งั้นก็ไม่เป็นไร! มันก็เป็นมาตรการหนึ่ง ที่จะลงโทษ คนที่เป็นข้าราชการ อยู่ใน พ.ร.บ. ตำรวจ ได้เห็นว่า ถ้าเราทำผิดติดคุกไป เราก็ถูกถอดยศ อย่างนี้แหละ
ส่วนทางด้าน สภาทนายความ ซึ่งเคยออกแถลงการณ์ ก่อนหน้านี้ ว่า หากคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ถึงที่สุดแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องดำเนินการ ปลด และ ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้ง สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก็ต้องเรียกคืน เครื่องราชฯ ทั้งหมดที่ พ.ต.ท. ทักษิณได้รับ กลับคืนโดยเร็วนั้น
ล่าสุด แหล่งข่าวจาก สภาทนายความ ก็ยืนยันว่า การถอดยศ และ การยึดคืน เครื่องราชฯ จาก พ.ต.ท. ทักษิณ ถือเป็น การดำเนินการ ตามกฎหมาย ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ ตามที่บางฝ่ายกล่าวอ้าง ดังนั้น ผู้เกี่ยวข้อง ที่ต้องดำเนินการ ไม่ควรยื้อเวลา พิจารณาเรื่องนี้ หาไม่แล้ว จะโดนกฎหมาย เล่นงาน เสียเองได้
“คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เป็นหน้าที่ กฎหมายบังคับให้ปฏิบัติ คงไม่ใช่เลือกปฏิบัติ เพราะข้อเท็จจริง มันประจักษ์ชัด นี่ไม่ใช่เฉพาะ ตำรวจ สำนักเลขาธิการ ครม. ก็ต้องถอด เครื่องราชอิสริยาภรณ์
(ถาม-กังวลมั้ย เพราะสุ้มเสียงของท่าน พัชรวาท บอกว่า เรื่องนี้เป็น เรื่องละเอียดอ่อน เราต้องพิจารณา อย่างรอบคอบ?)
มันเป็นข้อพิจารณา ของผู้มีหน้าที่ดำเนินการ ตามกฎหมาย จะใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้เวลานานเกินไป มันก็ทำให้ มีข้อพิรุธ แต่ถ้าเป็นเรื่องของ การพิจารณาโดยหลักการ และ เหตุผล ก็ว่ากันไป ดูว่ามีอะไร ถ้ายังไม่ตัดสินใจ จะตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมา กลั่นกรอง ก็ว่ากันไป
(ถาม-ทางอดีต แกนนำไทยรักไทย บอกว่า เพราะ ผู้บังคับการ กองวินัย นามสกุล “เอ่งฉ้วน”ใช่มั้ย?)
ถ้าเขาไม่ทำ (ไม่ถอดยศ)สิ เขาจะผิด ไปอ่านกฎหมายดูให้ดี จะ ทักษิณ ชินวัตร หรือใคร ถ้าในอดีต เขาไม่เคยทำ (ผิด) เขาเคยปลดมั้ย จะ “เอ่งฉ้วน” หรือ อะไร ผมคิดว่า ก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าไม่ทำ เขาจะโดน กฎหมายเล่นงาน”
แหล่งข่าวจาก สภาทนายความ ยังเชื่อด้วยว่า การถอดยศ และ การยึดคืน เครื่องราชฯ จาก พ.ต.ท. ทักษิณ จะไม่เป็นเงื่อนไข ที่นำไปสู่ความรุนแรง จากกลุ่ม นปช. หรือ คนเสื้อแดง เพราะถึงแม้จะมี กระแสที่รัก พ.ต.ท. ทักษิณ มากจนไม่ดูว่า อะไรผิดอะไรถูก แต่ก็ควรจะรู้ว่า กรณีนี้ไม่ใช่ กรณีที่ ใครผิดใครถูก เพราะ พ.ต.ท. ทักษิณ ผิดจริงๆ และ ศาลฎีกาฯ ก็ตัดสินแล้ว
ด้าน พล.ต.ท. สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการ ตำรวจสันติบาล ก็ฝากถึง บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาพูด โจมตี การเสนอถอดยศ พ.ต.ท. ทักษิณ ว่า แทนที่ นักการเมืองเหล่านี้ จะมาพูดเฉไฉ เพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท. ทักษิณ ควรจะทำตัวเป็น นักการเมืองที่ดี ด้วยการพูดให้ เด็กรุ่นหลัง ได้เห็นว่า
คนที่เป็น นายกฯ ต้องเป็น ตัวอย่างที่ดี ต่อไป ใครมาปกครองบ้านเมือง หรือ เป็นข้าราชการ มียศมีตำแหน่ง ก็ต้องทำตัวให้ดี ไม่เดินตามแบบ อดีตนายกฯ บางคน ที่เดินทางผิดแบบนี้!!