Accom Thailand

April 14, 2008

พาณิชย์เตรียมนำปุ๋ยกว่า 1 แสนตัน จำหน่ายให้ เกษตรกร รายย่อย ในราคาถูก

กระทรวงพาณิชย์ เตรียมนำปุ๋ยกว่า 1 แสนตัน ออกมาจำหน่าย
ให้กับ เกษตรกรรายย่อยในราคาถูก
เริ่ม 20 เมษายนนี้


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ จะเปิดจำหน่ายปุ๋ยราคาถูกให้กับ เกษตรกรรายย่อย เริ่ม 20 เมษายน นี้ โดยมี สมาคมปุ๋ยเคมีเข้าช่วยเหลือ โดยลดราคาปุ๋ยให้ ตันละ 200 – 1,000 บาท ซึ่งเป็นปุ๋ยชนิดหลักที่เกษตรกรใช้ อาทิ


ปุ๋ยตรากระต่าย ตราหัววัวคันไถ ตราไข่มุก ปุ๋ยตราม้าบิน และ ปุ๋ยสูตรหลักๆ ที่เกษตรกรใช้อยู่ส่วนการกระจายปุ๋ยสู่ เกษตรกรให้ครอบคลุมที่สุด จะจัดส่งกว่า153,000 ตันให้ถึงมือ เกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่ทำกินต่ำกว่า 10 ไร่ และ สำหรับปุ๋ยที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ เป็นปุ๋ยที่เข้าร่วมโครงการ ของกรมการค้าภายใน ไม่ใช่การลดราคาปุ๋ยทุกชนิด ทั่วประเทศ


อธิบดีกรมการค้าภายในยังกล่าวว่า การปรับขึ้นราคาปุ๋ยในส่วนอื่นๆ ที่อยู่นอกโครงการของกระทรวงพาณิชย์ ต้องขึ้นกับ คณะอนุกรรมการราคาปุ๋ย พิจารณาวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต กำหนดราคาขายปลีก แนะนำพื้นที่ทั่วประเทศ


ปรับปรุงจาก ข่าวของ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

บริติช เคานซิล ให้ทุนแลกเปลี่ยนนักวิจัย ไทย-อังกฤษ ประจำปี 2551


บริติช เคานซิล มอบทุนแลกเปลี่ยนนักวิจัยไทย-อังกฤษ ประจำปี 2551 ในสาขา วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ผู้สมัครต้องจบปริญญาเอก หรือกำลังจะปริญญาเอกภายใน 12 เดือน และมีประสบการณ์ทำงานวิจัยในมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานวิจัย ไม่เกิน 5 ปี


ดูรายละเอียดที่ www.britishcouncil.org/science-rxp หมดเขตรับสมัคร วันที่ 2 กรกฎาคม


ปรับปรุงจาก ข่าวของ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ไทยจับมือแคนาดา สร้างโรงปุ๋ยอินทรีย์ เล็งบุกตลาดเกษตรอินทรีย์ ในเอเชีย


ภาคเอกชนไทย ร่วมมือกับ ภาคเอกชนแคนาดา
ในการที่จะสร้างโรงปุ๋ยอินทรีย์ ที่ผลิตจาก เปลือกกุ้ง และ ปู
ซึ่งจะมีคุณภาพทำให้พืชผลทางการเกษตร
มีสารอาหารและแร่ธาตุมากกว่า การใช้ปุ๋ยเคมี และ ปุ๋ยอินทรีย์ แบบเดิม


หลังจากใช้เวลาในการเจรจากว่า 3 ปีเพื่อก่อตั้ง บริษัทไทย-แคนาดา เรียล ออร์แกนิค โปรดักส์ จำกัด หรือ บริษัทไทยคอร์ป บริษัทที่เกิดจากโครงการ จับคู่ธุรกิจ ของบริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด กับ บริษัท แคนาเดียล เรียล ออร์แกนิค โปรดักส์ อินคอร์ปอร์เรท จาก ประเทศแคนาดา โดยจะทำธุรกิจ ปุ๋ยอินทรีย์จากเปลือกกุ้งและปู ด้วยเทคโนโลยีของประเทศแคนาดา ที่พบว่า สารอาหาร และแร่ธาตุ ใน ผลิตผลทางการเกษตรที่ปลูกด้วย ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดนี้ เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์แบบเดิม


นายวุฒิพงศ์ วรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด เจ้าของธุรกิจไทย กล่าวว่า ในช่วง 3 ปี ที่เจรจา


ทีมจากแคนาดา จะมาถ่ายทอด เทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ จากเปลือก กุ้งและปู


ส่วนเราเป็นคนลงทุนสร้างโรงงาน และเครื่องผลิตปุ๋ย มูลค่ารวม 5 ล้านบาท โดยปุ๋ยอินทรีย์จากเปลือกกุ้งและปู ที่บริษัทแคนาดาจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ บริษัทผู้ประกอบการไทยมี 3 แบบ ได้แก่


ชนิดผงสำหรับโรยในดินเพื่อป้องกันเชื้อรา ไส้เดือนฝอยที่ทำลายรากพืช

แบบสเปรย์ฉีดลำต้นและใบป้องกันเพลี้ยและการกัดกินจากแมลง และ
ชนิดแท่งสำหรับใช้ใส่ในกระถางต้นไม้
“ระยะแรกโรงงานจะเดินเครื่องผลิตปุ๋ยแบบผง 15 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในรูปแบบ ผงโรยดิน และ นำไปผสมน้ำ ฉีดเป็นสเปรย์ให้กลุ่มเกษตรกร อินทรีย์ทั้งในไทย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ จีน และอินโดนีเซียก่อนผลิตรูปแบบแท่งต่อไป”

กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด กล่าวอีกว่า ปัญหาที่พบในปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักแบบเดิม คือต้องใช้เวลาหมักนานถึง 90 วันในปุ๋ยคอกอีกทั้งเมื่อหมักไม่สมบูรณ์จะเกิดเชื้อรา ทำให้ต้องสิ้นเปลืองซื้อยามาทำลาย ส่วนปุ๋ยหมักจากวัชพืชซึ่งต้องใส่แบคทีเรียเร่งกระบวนการหมักจะทำให้เกิด เป็นปฏิชีวนะที่เมื่อร่างกายสั่งสมไว้มากๆจะเกิดการดื้อยานั่นเอง


รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือ ระหว่างผู้ประกอบการไทย และแคนาดาครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ภายใต้ศูนย์บริหารการจัดการเทคโนโลยี เป็นการจับคู่ทางธุรกิจ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของเทคโนโลยี โดยทาง สวทช.จะเป็นคนกลางในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของธุรกิจที่ดำเนินอยู่ และเทคโนโลยีที่ใช้กับทั้ง 2 ฝ่าย คล้ายกับเป็นผู้ประกันเทคโนโลยีต่างกับการซื้อเทคโนโลยี


นางสาวสุรีพร เอมโอฐ นักวิทยาศาสตร์ บริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด ได้อธิบายว่า ได้ทดลองปลูกผลไม้หลายชนิดแล้ว ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดใหม่ที่ไทยรับเทคโนโลยีจากแคนาดานี้ สามารถตัดวงจรศัตรูพืช โดยจะใช้ส่วนผสมจากเปลือกกุ้ง 45% เปลือกปู 45% และผงไคตินเร่งปฏิกิริยาสำเร็จรูปนำเข้าจากแคนาดา 10% เทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์รูปแบบใหม่นี้จะอาศัย ไคตินมา กระตุ้นปฏิกิริยาของแบคทีเรียในดินให้เร่งผลิตเอนไซม์ ไคติเนส ออกมาย่อยสลายเปลือกกุ้งและเปลือกปูให้กลายเป็นปุ๋ยในดิน ซึ่งเอ็นไซม์ไคติเนส ที่แบคทีเรียผลิตขึ้นนี้ สามารถย่อยทำลายเชื้อรา เปลือกไข่ของแมลงที่มาวางไว้ และผิวหนังของไส้เดือนฝอย ซึ่งช่วยตัดวงจรศัตรูพืช ทดสอบในแปลงสาธิตของบริษัทที่จังหวัดราชบุรี นครราชสีมา และเชียงใหม่ อาทิ ข้าวโพดฝักอ่อน ข้าวโพดหวาน มะม่วง กระเจี๊ยบเขียว พริก ลิ้นจี่ หน่อไม้ฝรั่ง ตะไคร้ สตรอเบอร์รี่ มะละกอ และผักที่นำมาทำสลัด เปรียบเทียบกับปลูกด้วยสารเคมี


“ผลที่ได้หลังส่งผลิตผลทางการเกษตรที่ได้ทั้งแบบที่ปลูกด้วย สารเคมี และ ปุ๋ยอินทรีย์ที่พัฒนาขึ้น ไปตรวจสอบคุณภาพ ที่ห้องปฏิบัติการ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งรับตรวจ สินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก พบว่าผัก ผลไม้ที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ปลูกจะมีสารอาหาร อาทิ วิตามินซี แร่ธาตุแคลเซียม เพิ่มได้ 18-20 เปอร์เซ็นต์


การผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานด้านการเกษตร อินทรีย์ชั้นนำในหลายประเทศ อาทิ มาตรฐาน OMRI ของสหรัฐอเมริกา มาตรฐาน IFORM จากยุโรป มาตรฐาน JAS จากประเทศญี่ปุ่น จึงเชื่อได้ว่า ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดใหม่นี้มีประสิทธิภาพ แม้ว่าราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 100 บาท เทียบกับปุ๋ยอินทรีย์แบบเดิมแล้วจะมีราคาแพงกว่าประมาณ 40-50 บาท แต่ผลที่ได้จะช่วยให้ผลผลิตสามารถส่งออกได้ 100%


นักวิทยาศาสตร์ กล่าวอีกว่า ปุ๋ยอินทรีย์นี้สามารถนำไปใช้ในการปลูกพืชได้ทุกชนิด โดย รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไทยและแคนาดาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ภายใต้ศูนย์บริหารการจัดการเทคโนโลยี ซึ่งใช้เวลาในการเจรจากันนานถึง 3 ปีจนเกิดเป็นธุรกิจ


“ประโยชน์ที่ไทยจะได้จากความร่วมมือกับแคนาดาครั้งนี้ จะช่วยให้พืชผักของไทยสามารถส่งออกได้โดยปราศจากขีดจำกัดด้านการปนเปื้อนจาก สารเคมี อีกทั้งผักผลไม้ยังมีคุณภาพดีไม่มีการทำลายจากแมลง”


ทั้งนี้ ในอนาคต สวทช.ยังมีโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการด้านเซรามิกจากประเทศอังกฤษ พัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกอีกด้วย โดยอยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ประกอบการไทยที่เหมาะสม โดย สวทช.และผู้ประกอบการจากอังกฤษจะเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายละ 49% และผู้ประกอบการ 2%


นอกจากตัวปุ๋ยอินทรีย์แล้ว นายวุฒิพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทแคนาดายังจะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตกล่องกระดาษที่สามารถยืดอายุผักผล ไม้ไทยให้เดินทางไปยังประเทศแคนาดาด้วยเรือโดยที่ผลิตผลเหล่านั้นไม่เหี่ยว และน้ำยาล้างผักที่ช่วยยืดอายุผักให้คงความสดได้นานอีกด้วย


“บริษัทได้นำผลิตภัณฑ์มาทดลองใช้บ้างแล้วแต่พบปัญหาว่าผักผลไม้ ไทยมีการระเหยน้ำจำนวนมาก กล่องกระดาษไม่สามารถระบายน้ำออกได้จนเกิดเชื้อราขึ้น จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปเพื่อให้ออกมาเหมาะกับพืชผลที่ปลูก ในไทยได้มากที่สุด”


ปรับปรุงจาก ข่าวของ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

External Links Below Use Browser “Back Button” Back to Here..

ชลประทาน ยืนยัน เตรียมพร้อมมาตราการ บริหารจัดการน้ำ ในช่วงหน้าแล้ง

โฆษกกรมชลประทาน ยืนยัน เตรียมพร้อมมาตรการบริหารจัดการน้ำในช่วงหน้าแล้ง


นายบุญสนอง สุชาติพงศ์ โฆษกกรมชลประทาน กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำที่เก็บในเขื่อนเก็บน้ำขณะนี้ เพื่อให้เพียงพอสำหรับ การปลูกพืช ตลอดหน้าแล้ง โดยยืนยันว่า


กรมชลประทานมีการเตรียมพร้อม มาตรการรองรับในเรื่องการส่งน้ำ ให้เกษตรกรปลูกพืชในช่วงหน้าแล้งแล้วซึ่งขณะนี้ได้ปลูกไปแล้ว 13 .86 ล้านไร่ โดยได้ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติม และมีเพียงพอที่จะใช้ ในการ ปลูกพืชได้ จนหมดหน้าแล้ง ในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ แน่นอน


รวมไปถึงการอนุมัติการเพิ่มน้ำ เพื่อใช้สำหรับทำนาปรัง รอบที่ 2 ตามที่เกษตรกรได้ขอไว้ เนื่องจาก ราคาของข้าว ขณะนี้กำลังได้ราคา จึงอยากช่วยเหลือเกษตร ขณะที่การบริหารจัดการน้ำในช่วงหน้าฝน คงไม่มีปัญหา เพราะจะมีปริมาณน้ำฝน สำหรับการจัดการน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค คงไม่มีปัญหา เพราะได้มีเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้แล้ว ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน


โฆษกกรมชลประทานยังกล่าวว่า ขณะนี้ได้ประสานกับหลายหน่วยงาน เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อดูแลบริหารจัดการน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคใน 55 จังหวัด


อย่างไรก็ตาม ยังเป็นห่วงสถานการณ์น้ำใน อ่างเก็บน้ำจังหวัดเชียงใหม่ มากที่สุด เนื่องจากมี น้ำเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยละ 20 แต่จะได้ โครงการที่ทำเรื่องฝนเทียมมาช่วยเหลืออยู่


ปรับปรุงจาก ข่าวของ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ธนาคารโลก แนะไทย ลดการปลูกพืชพลังงานทดแทน และเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น

ธนาคารโลก ขอความร่วมมือ
ประเทศผู้นำโลก เกษตรกรรม
ลดการปลูกพืชพลังงานทดแทน และ
หันมาเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกเกษตร
เพื่อผลิดอาหารมากขึ้น ให้เพียงพอต่อการบริโภค


หลังวิตกว่าทั่วโลกมีความเสี่ยงหลังปัญหาราคาอาหารแพง ที่อาจจะเกิดการคลาดแคลน จนทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา ขณะที่ไทยขอเวลาศึกษาความเหมาะสมก่อน


การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลกครั้งที่47 ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการประชุมกลางปีประจำฤดูใบไม้ผลิ 2551 มี กลุ่มประเทศสมาชิก 24 กลุ่ม เข้าร่วม จัดขึ้นเมื่อ


วันที่ 13 เมษายน ได้เริ่มขึ้นในเวลา 9.00น. ตามเวลาท้องทิ่น หรือเวลา 20.00น.ตามเวลาในประเทศไทย โดย นายแพทย์ สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะตัวแทนกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ขึ้นกล่าวในเวทีธนาคารโลกว่า


ปัญหาราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัญหาใหญ่ของ ทั่วโลก ที่นายโรเบิรต์ โคลิต ประธานธนาคารโลก มีความเป็นห่วงว่า อาจมีการแย่งชิงกัน จนทำให้ เกิดปัญหาสังคม และ การเมือง ตามมา ส่งผลทำให้พื้นที่ การเกษตรของโลก เปลี่ยนแปลงไป เพราะจะมีการแบ่งพื้นที่เพาะปลูก โดยปลูกพืชเป็นอาหารมากขึ้น


หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกทะยานสูงขึ้นไม่หยุด จึงอยากให้ประเทศที่มี การปลูกพืชเกษตร ให้ความสำคัญกับ การปลูกพืชเพื่อ ผลิดอาหาร ให้มากที่สุด และ ลดปลูกพืชพลังงาน ทดแทน ซึ่งประเทศไทยต้องพิจารณาว่า จะทำตามที่ ธนาคารโลกเสนอแนะได้หรือไม่ เพราะ ไทยเป็นผู้นำเข้าพลังงานเป็นพิเศษ ต้องปลูกพืชเพื่อรองรับพลังงานในอนาคตเพราะมีความสำคัญ ต้องพิจารณาด้วยว่า


ประเทศที่ส่งออกน้ำมันในกลุ่มเอเปค จะร่วมมือประเทศเกษตรกรรม เพื่อช่วยเหลือได้หรือไม่ นอกจากนี้ที่ประชุม ยังมีการประเมินสถานการณ์ ปัญหาอุทกภัย ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยได้ถูกจัดอันดับว่า มีความเสียงที่เกิดจากภาวะน้ำท่วมเป็นอันดับที่ 9 ของโลกซึ่งจะมีผลกระทบตามมาต่อพืชเกษตรกรรม


ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ ศสช. รวบรวมความเห็นจากการประชุมธนาคารโลกในครั้งนี้ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีในการพิจารณาว่า
ตรงกับ ยุทธศาสตร์ ของไทย หรือไม่


อย่างไรก็ตามหลายเรื่องมีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการเร่งการผลักดันโครงการสาถารณูปโภค ที่เกี่ยวข้องกับ ระบบชลประทาน และน้ำ รวมทั้งโครงการอื่นๆ เพื่อป้องกันปัญหา น้ำท่วม


ปรับปรุงจาก ข่าวของ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ปลัดกระทรวงยุติธรรมสนับสนุนแนวคิดงดจำหน่ายสุราในวันเดินทางไปและกลับภูมิลำเนาของประชาชนในช่วงเทศกาล

Filed under: 1 — accomthailand @ 09:23

ปลัดกระทรวงยุติธรรมสนับสนุนแนวคิดงด จำหน่ายสุราในวันเดินทางไปและกลับภูมิลำเนาของประชาชนในช่วงเทศกาล เชื่อหากรณรงค์และสร้างความเข้าใจเพื่อหวังลดตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเมาแล้ว ขับในช่วงเทศกาลต่างๆ น่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชน
นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เตรียมกำหนดมาตรการงดจำหน่ายสุราในวันเดินทางไปและกลับภูมิลำเนาของประชาชน หากอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ปีนี้ไม่ลดลง ว่า เป็นแนวคิดที่ดีและน่าสนับสนุนหากจะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตในช่วงเทศกาลต่างๆ ลดลงหรือไม่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากสถิติส่วนใหญ่มักเกิดอุบัติจากเหตุเมาแล้วขับในระยะดังกล่าว ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีข้อมูลหรือตัวเลขแสดงให้ประชาชนเห็นว่าหากออกมาตรการ ดังกล่าวนี้ออกมาแล้วจะทำให้เกิดการลดอุบัติเหตุและลดการสูญเสียของชีวิตและ ทรัพย์สินได้ ก็เชื่อว่าน่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า หากมีการปรับเปลี่ยนการออกใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์จากอายุ 15 ปี ให้สูงขึ้นกว่าเดิมน่าจะเป็นอีกมาตรกรหนึ่งที่จะสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุ ในเยาวชนได้ด้วย อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการออกมาตรการรณรงค์ 7 วันอันตรายในช่วงเทศกาลอาจจะไม่ช่วยทำให้ยอดผู้เสียชีวิตลดลงแต่ ก็สามารถทำให้ไม่ให้มีอัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น และตรึงความสูญเสียจากอุบัติไม่ให้เกิดมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะปัจจุบันอัตราตัวเลขการใช้รถใช้ถนนของคนไทยเพิ่มขึ้นทุกวัน

ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มูลค่า 1,733,000.-บาท สร้างโดย อบจ.สระแก้ว ถูกลมพัดล้มขวางถนนสาย 359 โชคดีไม่มีคนเจ็บ

Filed under: 1 — accomthailand @ 09:21

ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มูลค่า 1,733,000.-บาท สร้างโดย อบจ.สระแก้ว ถูกลมพัดล้มขวางถนนสาย 359 โชคดีไม่มีคนเจ็บ
พายุฝน ลมแรง พัดกระหน่ำจังหวัดสระแก้ว ตั้งแต่ 18.00 น. วันที่ 13 เมษายน เป็นเหตุให้ ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ซึ่งตั้งอยู่เหนือถนนสายสระแก้ว เขาหินซ้อน (สาย 359) กิโลเมตรที่ 53 +419 บ้านน้ำซับ หมู่ที่ 21 ตำบลสระขวัญ อำเภอเมืองสระแก้ว หลุดจากฐานหักโค่นขวางถนน เมื่อเวลา 19.00 น .เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย อพปร.สระขวัญ ประสบเหตุ รีบปิดกั้นจราจรและรายงานให้ นายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ทราบ หลังจากนั้น ผวจ.สระแก้ว ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย ที่ประจำอยู่ ณ ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ศาลากลางจังหวัดสระแก้ว รีบไปควบคุมสถานการณ์ จากการสอบถาม นายประมวล ถี่ถ้วน หัวหน้าหมวดการทางวัฒนานครหมวดที่ 1 แขวงการทางสระแก้ว ชี้แจงว่า ขณะป้ายล้มมี รถยนต์ปิคอัพ ทะเบียน 8112 กรุงเทพฯ ประสบเหตุ คนขับรถได้หักพวงมาลัย หลบลงข้างถนน โชคดีไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย เนื่องจาก มูลนิธิสว่างสระแก้ว นำรถยกพนม และเจ้าหน้าที่หมวดการทางวัฒนานครหมวดที่ 1 แขวงการทางสระแก้ว ได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายทั้งรถที่ตกถนน และซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ออกจากถนนสาย 359 ได้ก่อน 21.00 น. ที่จะมีรถคันอื่นมาประสบเหตุ
ซุ้ม เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา 80 พรรษา ก่อสร้างโดยเงินรายได้ อบจ.สระแก้ว ปีงบประมาณ 2550 มูลค่า 1,733,000.-บาท และอยู่ในระยะค้ำประกัน ระหว่างวันที่ 25 ต.ค.50 ถึงวันที่ 26 ต.ค.52

จังหวัดเชียงใหม่ยังคงจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง

Filed under: 1 — accomthailand @ 09:19

จังหวัดเชียงใหม่ยังคงจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง ทั่วทั้งเมืองตลอดวันเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
กิจกรรม ในงานป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่ ในวันนี้ยังคงจัดอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นต้นไปที่วัดสวนดอกวรวิหาร มีการแข่งขันกลองแอว ขณะที่ช่วงบ่ายมีขบวนแห่ขนทรายเข้าวัด-ไม้คำสะหลี ตั้งแต่สะพานเหล็กไปยังวัดต่าง ๆ บนถนนท่าแพตลอดสาย ช่วงค่ำ มีการประกวดมหกรรม คีตกรรมล้านนา ที่วัดโลกโมฬี ส่วนที่ข่วงท่าแพ และถนนราชดำเนิน มีงาน 712 ปีสะหลีปี๋ใหม่เมืองและอาหารนานาชาติ เวทีข่วงประตูท่าแพยังคงมีการแสดงศิลปะพื้นบ้านล้านนา ขณะที่เวทีข่วงวัฒนธรรมสามกษัตริย์มีการแสดงข่วงพญ๋า สล่าแก้วล้านนา โดยกลุ่มสล่าล้านนา ที่ลานประตูเชียงใหม่มีการแสดงมหกรรมศิลปินพื้นเมือง งานสืบสานงานศิลป์แผ่นดินล้านนา นิทรรศการจ้อและตุงจัดอยู่ที่วัดอินทขีลสะดือเมือง ที่วัดเจ็ดลิน ขอเชิญนักท่องเที่ยวร่วมก่อเจดีย์ทรายสุดส้าว ชมประกวดปั๋นปอนปี๋ใหม่เมือง ศิลปะพื้นบ้านและตุง ขณะที่ที่สวนเฉลิมพระเกียรติราชพฤกษ์ 2549 และเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ยังคงจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่องถึงวันที่ 15 เมษายนนี้

เทศกาลสงกรานต์ 3 วัน ตาย 180 ราย บาดเจ็บ 2,514 ราย

Filed under: 1 — accomthailand @ 09:18

ยอดผู้เสียชีวิตช่วงเทศกาลสงกรานต์สะสม 3 วันสูงถึง 180 ราย บาดเจ็บ 2,514 ราย ขณะที่เมาและขับยังเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุ
นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานยอดผู้เสียชีวิต เปิดเผยถึงอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวม 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 – 13 เมษายน มียอดผู้เสียชีวิตรวมเพิ่มเป็น 180 ราย บาดเจ็บรวม 2,514 ราย จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ จ.พิษณุโลก จำนวน 9 ราย รองลงมาเป็น จ.ประจวบคีรีขันธ์ 8 ราย จังหวัดที่ยังไม่พบผู้เสียชีวิต มีจำนวนทั้งสิ้น 15 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมมากที่สุดในขณะนี้ คือ จ.เชียงราย รองลงมา คือ จ.เชียงใหม่
ขณะที่ในวันที่ 13 เมษายน เพียงวันเดียวมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 1,018 ครั้ง เสียชีวิตวันเดียว 76 ราย บาดเจ็บ 1,103 ราย และจักรยานยนต์และเมาสุรายังคงเป็นสาเหตุหลักที่เกิดอุบัติเหตุและช่วงเวลา พลบค่ำเป็นเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด

ชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ไม่ชื่อชอบประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย่

Filed under: 1 — accomthailand @ 09:15

คะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย ผู้นำฟิลิปปินส์ลดลงต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี โดยผลสำรวจของโพลชั้นนำที่จัดทำขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนที่แล้ว ปรากฎว่า กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 56 ไม่ชื่นชอบประธานาธิบดีอาร์โรโย่ ขณะที่มีเพียง ร้อยละ27 เท่านั้นที่ตอบว่าชื่นชอบ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์การเมืองมองว่าประธานาธิบดีอาร์โรโย่ยังไม่ตกอยู่ ในภาวะอันตรายและเป็นไปได้อย่างมากว่าจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนครบวาระในปี 2553 นอกจากนี้ประธานาธิบดีอาร์โรโย่ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกที่ทรงอิทธิพลใน ประเทศด้วย.

Next Page »

Blog at WordPress.com.