ภาคเอกชนไทย ร่วมมือกับ ภาคเอกชนแคนาดา
ในการที่จะสร้างโรงปุ๋ยอินทรีย์ ที่ผลิตจาก เปลือกกุ้ง และ ปู
ซึ่งจะมีคุณภาพทำให้พืชผลทางการเกษตร
มีสารอาหารและแร่ธาตุมากกว่า การใช้ปุ๋ยเคมี และ ปุ๋ยอินทรีย์ แบบเดิม
หลังจากใช้เวลาในการเจรจากว่า 3 ปีเพื่อก่อตั้ง บริษัทไทย-แคนาดา เรียล ออร์แกนิค โปรดักส์ จำกัด หรือ บริษัทไทยคอร์ป บริษัทที่เกิดจากโครงการ จับคู่ธุรกิจ ของบริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด กับ บริษัท แคนาเดียล เรียล ออร์แกนิค โปรดักส์ อินคอร์ปอร์เรท จาก ประเทศแคนาดา โดยจะทำธุรกิจ ปุ๋ยอินทรีย์จากเปลือกกุ้งและปู ด้วยเทคโนโลยีของประเทศแคนาดา ที่พบว่า สารอาหาร และแร่ธาตุ ใน ผลิตผลทางการเกษตรที่ปลูกด้วย ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดนี้ เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์แบบเดิม
นายวุฒิพงศ์ วรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด เจ้าของธุรกิจไทย กล่าวว่า ในช่วง 3 ปี ที่เจรจา
ทีมจากแคนาดา จะมาถ่ายทอด เทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ จากเปลือก กุ้งและปู
ส่วนเราเป็นคนลงทุนสร้างโรงงาน และเครื่องผลิตปุ๋ย มูลค่ารวม 5 ล้านบาท โดยปุ๋ยอินทรีย์จากเปลือกกุ้งและปู ที่บริษัทแคนาดาจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ บริษัทผู้ประกอบการไทยมี 3 แบบ ได้แก่
ชนิดผงสำหรับโรยในดินเพื่อป้องกันเชื้อรา ไส้เดือนฝอยที่ทำลายรากพืช
แบบสเปรย์ฉีดลำต้นและใบป้องกันเพลี้ยและการกัดกินจากแมลง และ
ชนิดแท่งสำหรับใช้ใส่ในกระถางต้นไม้
“ระยะแรกโรงงานจะเดินเครื่องผลิตปุ๋ยแบบผง 15 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในรูปแบบ ผงโรยดิน และ นำไปผสมน้ำ ฉีดเป็นสเปรย์ให้กลุ่มเกษตรกร อินทรีย์ทั้งในไทย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ จีน และอินโดนีเซียก่อนผลิตรูปแบบแท่งต่อไป”
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด กล่าวอีกว่า ปัญหาที่พบในปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักแบบเดิม คือต้องใช้เวลาหมักนานถึง 90 วันในปุ๋ยคอกอีกทั้งเมื่อหมักไม่สมบูรณ์จะเกิดเชื้อรา ทำให้ต้องสิ้นเปลืองซื้อยามาทำลาย ส่วนปุ๋ยหมักจากวัชพืชซึ่งต้องใส่แบคทีเรียเร่งกระบวนการหมักจะทำให้เกิด เป็นปฏิชีวนะที่เมื่อร่างกายสั่งสมไว้มากๆจะเกิดการดื้อยานั่นเอง
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือ ระหว่างผู้ประกอบการไทย และแคนาดาครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ภายใต้ศูนย์บริหารการจัดการเทคโนโลยี เป็นการจับคู่ทางธุรกิจ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของเทคโนโลยี โดยทาง สวทช.จะเป็นคนกลางในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของธุรกิจที่ดำเนินอยู่ และเทคโนโลยีที่ใช้กับทั้ง 2 ฝ่าย คล้ายกับเป็นผู้ประกันเทคโนโลยีต่างกับการซื้อเทคโนโลยี
นางสาวสุรีพร เอมโอฐ นักวิทยาศาสตร์ บริษัท เอกยงวงศ์ จำกัด ได้อธิบายว่า ได้ทดลองปลูกผลไม้หลายชนิดแล้ว ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดใหม่ที่ไทยรับเทคโนโลยีจากแคนาดานี้ สามารถตัดวงจรศัตรูพืช โดยจะใช้ส่วนผสมจากเปลือกกุ้ง 45% เปลือกปู 45% และผงไคตินเร่งปฏิกิริยาสำเร็จรูปนำเข้าจากแคนาดา 10% เทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์รูปแบบใหม่นี้จะอาศัย ไคตินมา กระตุ้นปฏิกิริยาของแบคทีเรียในดินให้เร่งผลิตเอนไซม์ ไคติเนส ออกมาย่อยสลายเปลือกกุ้งและเปลือกปูให้กลายเป็นปุ๋ยในดิน ซึ่งเอ็นไซม์ไคติเนส ที่แบคทีเรียผลิตขึ้นนี้ สามารถย่อยทำลายเชื้อรา เปลือกไข่ของแมลงที่มาวางไว้ และผิวหนังของไส้เดือนฝอย ซึ่งช่วยตัดวงจรศัตรูพืช ทดสอบในแปลงสาธิตของบริษัทที่จังหวัดราชบุรี นครราชสีมา และเชียงใหม่ อาทิ ข้าวโพดฝักอ่อน ข้าวโพดหวาน มะม่วง กระเจี๊ยบเขียว พริก ลิ้นจี่ หน่อไม้ฝรั่ง ตะไคร้ สตรอเบอร์รี่ มะละกอ และผักที่นำมาทำสลัด เปรียบเทียบกับปลูกด้วยสารเคมี
“ผลที่ได้หลังส่งผลิตผลทางการเกษตรที่ได้ทั้งแบบที่ปลูกด้วย สารเคมี และ ปุ๋ยอินทรีย์ที่พัฒนาขึ้น ไปตรวจสอบคุณภาพ ที่ห้องปฏิบัติการ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งรับตรวจ สินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก พบว่าผัก ผลไม้ที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ปลูกจะมีสารอาหาร อาทิ วิตามินซี แร่ธาตุแคลเซียม เพิ่มได้ 18-20 เปอร์เซ็นต์”
การผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานด้านการเกษตร อินทรีย์ชั้นนำในหลายประเทศ อาทิ มาตรฐาน OMRI ของสหรัฐอเมริกา มาตรฐาน IFORM จากยุโรป มาตรฐาน JAS จากประเทศญี่ปุ่น จึงเชื่อได้ว่า ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดใหม่นี้มีประสิทธิภาพ แม้ว่าราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 100 บาท เทียบกับปุ๋ยอินทรีย์แบบเดิมแล้วจะมีราคาแพงกว่าประมาณ 40-50 บาท แต่ผลที่ได้จะช่วยให้ผลผลิตสามารถส่งออกได้ 100%
นักวิทยาศาสตร์ กล่าวอีกว่า ปุ๋ยอินทรีย์นี้สามารถนำไปใช้ในการปลูกพืชได้ทุกชนิด โดย รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการไทยและแคนาดาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ภายใต้ศูนย์บริหารการจัดการเทคโนโลยี ซึ่งใช้เวลาในการเจรจากันนานถึง 3 ปีจนเกิดเป็นธุรกิจ
“ประโยชน์ที่ไทยจะได้จากความร่วมมือกับแคนาดาครั้งนี้ จะช่วยให้พืชผักของไทยสามารถส่งออกได้โดยปราศจากขีดจำกัดด้านการปนเปื้อนจาก สารเคมี อีกทั้งผักผลไม้ยังมีคุณภาพดีไม่มีการทำลายจากแมลง”
ทั้งนี้ ในอนาคต สวทช.ยังมีโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการด้านเซรามิกจากประเทศอังกฤษ พัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกอีกด้วย โดยอยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ประกอบการไทยที่เหมาะสม โดย สวทช.และผู้ประกอบการจากอังกฤษจะเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายละ 49% และผู้ประกอบการ 2%
นอกจากตัวปุ๋ยอินทรีย์แล้ว นายวุฒิพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทแคนาดายังจะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตกล่องกระดาษที่สามารถยืดอายุผักผล ไม้ไทยให้เดินทางไปยังประเทศแคนาดาด้วยเรือโดยที่ผลิตผลเหล่านั้นไม่เหี่ยว และน้ำยาล้างผักที่ช่วยยืดอายุผักให้คงความสดได้นานอีกด้วย
“บริษัทได้นำผลิตภัณฑ์มาทดลองใช้บ้างแล้วแต่พบปัญหาว่าผักผลไม้ ไทยมีการระเหยน้ำจำนวนมาก กล่องกระดาษไม่สามารถระบายน้ำออกได้จนเกิดเชื้อราขึ้น จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปเพื่อให้ออกมาเหมาะกับพืชผลที่ปลูก ในไทยได้มากที่สุด”
ปรับปรุงจาก ข่าวของ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
External Links Below Use Browser “Back Button” Back to Here..