รองนายกรัฐมนตรี ระบุ หากเกิดวิกฤติราคาน้ำมันขั้นรุนแรง
ไทยจำเป็นต้องดึงมาตรการบังคับมาใช้
พร้อมทั้งเร่งผลักดันการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นฐานความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังการพบปะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและผู้บริหารว่า แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง รัฐบาลจะยังไม่มีมาตรการดึงเงินจาก กองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง มาอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น แต่หากราคาน้ำมันอยู่ในขั้นวิกฤต
กระทรวงพลังงานเตรียมนำนโยบายมาตรการบังคับมาใช้รองรับสถานการณ์ อย่างเช่น การจำกัดความเร็วของ รถยนต์ เหลือเพียง 70 ไมล์ต่อชั่วโมง ทั้งนี้ ต้องดูความเหมาะสมก่อนนำมาใช้
ส่วนช่วงนี้จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันประหยัด และลดการใช้น้ำมันให้มากที่สุด ส่วนการที่ กระทรวงพลังงาน จะแยกราคาแอลพีจี ออกเป็นตลาดผู้บริโภค และ ตลาดรถยนต์-อุตสาหกรรม รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อ ผู้ประกอบการรถแท็กซี่จำนวนมาก และผู้บริโภค โดยได้มอบหมายให้ ปตท.ส่งเสริมให้รถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีเปลี่ยนมาเป็นเอ็นจีวีโดยเร็ว
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะเร่งผลักดันให้ศึกษาโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร ์ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงาน และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ พร้อมทั้งช่วยลดการนำเข้า น้ำมันดิบ จากต่างประเทศแก้วกฤติน้ำมันแพง ซึ่งต้องสร้างการยอมรับจากประชาชนก่อน แต่ทั้งนี้ ไทยต้องมีความพร้อม ด้านบุคลากร เห็นได้จากการที่คนไทยมีโรงงานปิโตรเคมี ดังนั้นจะนำบุคคลเหล่านี้ไปสร้างความรู้การสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้คาดว่าจะใช้เวลาเร็วขึ้นเหลือ 10 ปีในการก่อสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จากเดิมที่วางไว้ 13 ปีข้างหน้า
ข่าวจาก สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์